บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ประวัติกฎหมายไทย

                            ....ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย……..
-------------------------------------
ประวัติศาสตร์กฎหมายไทย
           กฎหมายไทยมีการวิวัฒนาการมานาน เช่นเดียวกันกับกฎหมายของประเทศต่างๆ ก่อนที่ประเทศไทยจะได้ใช้ระบบประมวลกฎหมาย ไทยก็มีระบบกฎหมายใช้เป็นของตนเองเช่นกัน ซึ่งจะอยู่ในรูปของกฎหมายจารีตประเพณี ซึ่งได้ถูกปฏิบัติสืบต่อกันมาจนยอมรับว่าเป็นกฎหมายในที่สุด และก็ได้มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรในกาลต่อมา เพื่อให้สมาชิกในชุมชนได้รู้และปฏิบัติตาม


กฎหมายในยุคสุโขทัย
ปรากฎอยู่ในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหง ( ปีพ.. 1828-1835 ) เรียกกันว่า กฎหมายสี่บท ได้แก่
               1
.) บทเรื่องมรดก
               2.) บทเรื่องที่ดิน
               3.) บทวิธีพิจารณาความ
               4.) บทลักษณะฎีกา
               และมีการเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะโจรลงไปในครั้งรัชสมัยพญาเลอไทย กษัตริย์สุโขทัยองค์ที่4 ซึ่งมีส่วนของการนำกฎหมายพระธรรมศาสตร์มาใช้ ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากพราหม ซึ่งได้มีส่วนขยาย ที่เรียกว่า พระราชศาสตร์มาใช้ประกอบด้วย


กฎหมายกรุงศรีอยุธยา
               กรุงศรีอยุธยาเป็นชารธานีแห่งที่สองของไทย ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.. 1893 - 2310 พระมหากษัตริย์ในยุคนั้น ได้สร้างกฎหมายซึ่งเรียกว่าพระราชศาสตร์ไว้มากมาย พระราชศาสตร์เหล่านี้ เมื่อเริ่มต้นได้อ้างถึงพระธรรมศาสตร์ฉบับของมนูเป็นแม่บท เรียกกันว่ามนูสาราจารย์พระธรรมศาสตร์ฉบับของมนูสาราจารย์นี้ เป็นกฎหมายที่มีต้นกำเนิดในอินเดีย เรียกว่าคำภีร์พระธรรมศาสตร์ ต่อมามอญได้เจริญและปกครองดินแดนแหลมทองมาก่อน ได้แปลต้นฉบับคำภีร์ภาษาสันสกฤตมาเป็นภาษาบาลีเรียกว่า คำภีร์ธรรมสัตถัมและได้ดัดแปลงแก้ไขบทบัญญัติบางเรื่องให้มีความเหมาะสมกับชุมชนของตน ต่อจากนั้นนักกฎหมายไทยในสมัยพระนครศรีอยุธยาจึงนำเอาคำภีร์ของมอญของมอญมาเป็นหลักในการบัญญัติกฎหมายของตน ลักษณะกฎหมายในสมัยนั้นจะเป็นกฎหมายอาญาเสียเป็นส่วนใหญ่ ในยุคนั้น การบันทึกกฎหมายลงในกระดาษเริ่มมีขึ้นแล้ว เชื่อกันว่าการออกกฎหมายในสมัยก่อนนั้น จะคงมีอยู่ในราชการเพียงสามฉบับเท่านั้น ได้แก่ ฉบับที่พระมหากษัตริย์ทรงใช้งาน ฉบับให้ขุนนางข้าราชการทั่วไปได้อ่านกัน หรือคัดลอกนำไปใช้ ฉบับสุดท้ายจะอยู่ที่ผู้พิพากษาเพื่อใช้ในการพิจารณาอรรถคดี


กฎหมายกรุงรัตนโกสินทร์
                   ในสมัยนั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่1 เห็นว่ากฎหมายที่ใช้กันแต่ก่อนมานั้นขาดความชัดเจน และไม่ได้รับการจัดเรียงไว้เป็นหมวดหมู่ง่ายต่อการศึกษาและนำมาใช้ จึงโปรดเกล้าให้มีการชำระกฎหมายขึ้นมาใหม่ ในคำภีร์พระธรรมศาสตร์ โดยนำมารวบรวมกฎหมายเดิมเข้าเป็นลักษณะๆ สำเร็จเมื่อ พ.. 2348 และนำมาประทับตราเข้าเป็นตราพระราชสีห์ ซึ่งเป็นตราของกระทรวงมหาดไทย ตราคชสีห์ ของพระทรวงกลาโหม และตราบัวแก้ว ซึ่งเป็นตราของคลัง บนหน้าปกแต่ละเล่ม ตามลักษณะระของการปกครองในสมัยนั้น กฎหมายฉบับนั้นเรียกกันว่า กฎหมายตราสามดวงกฎหมายตราสามดวงนี้ ถือเป็นประมวลกฎหมายของแผ่นดินที่ได้รับการปรับปรุงให้มีความรัดกุม ยุติธรรมทั้งทางแพ่งและอาญา นอกจากจะได้บรรจุพระธรรมศาสตร์ตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ยังคงมีกฎหมายสำคัญๆอีกหลายเรื่อง อาทิ กฎหมายลักษณะพยาน ลักษณะทาส ลักษณะโจร และต่อมาได้มีการตราขึ้นอีกหลายฉบับ ต่อมาประเทศไทยมีการติดต่อสัมพันธ์ไมตรีกับประเทศต่างๆมาก พึงเห็นได้ว่ากฎหมายเดิมนั้นไม่ได้รับการยอมรับจากนานาอารยประเทศ จนทำให้ไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต นอกจากนั้นยังไม่สามารถนำมาใช้บังคับได้ทุกกรณี พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงตรากฎหมายขึ้นใหม่ อาทิ พระราชบัญญัติมารดาและสินสมรส ครั้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงจัดวางระบบศาลขึ้นมาใหม่ และได้ให้ผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมายทั้งจากอังกฤษ ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น และลังกามาเป็นที่ปรึกษากฎหมาย และในสมัยนั้น พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ก็ได้แก้ไขชำระกฎหมายตราสามดวงเดิมขึ้นใหม่ และจัดพิมพ์ขึ้นในชื่อของกฎหมายราชบุรีในปีพ.. 2440 พระบาทสมเด็จพระลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจชำระและร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ ทำการร่างกฎหมายลักษณะอาญา กฎหมายว่าด้วยการเลิกทาส กฎหมายวิธีสบัญยัติ ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและกฎหมายที่สำคัญหลายๆฉบับ และในรัชสมัยต่อมา กฎหมายไทยได้ถูกพัฒนาสืบต่อกันยาวนาน ตราบจนทุกวันนี้ มีการจัดทำประมวลกฎหมาย และร่างกฎหมายต่างๆเป็นจำนวนมาก ซึ่งกฎหมายไทยนั้น ได้รับอิทธิพลทั้งจากกฎหมายภาคพื้นยุโรป อาทิกฎหมายอังกฤษ กฎหมายฝรั่งเศส รวมทั้งจารีตประเพณีเดิมของไทยด้วย ( มีอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ5 และ 6 ว่าด้วยเรื่องครอบครัวและมรดก ) และได้รับการแก้ไขให้มีความสอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนไปอยู่ตลอดเวลา มีกฎหมายที่ทันสมัยถูกตราขึ้นใหม่ๆตลอด เช่นกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา หรือที่เกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ

พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์
                   พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ มีพระนามเดิมว่าพระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 14 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยประสูติจากเจ้าจอมมารดาตลับ เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2417 ทรงสำเร็จการศึกษาวิชากฎหมาย ณ สำนักไครสต เซิร์ซ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ได้รับปริญญาตรีเกียรตินิยมทางด้านกฎหมาย เมื่อปี พ..2439 หลังจากนั้นทรงเข้ารับราชการในกรมราชเลขานุการ ทรงปฏิบัติงานเป็นที่พอพระราชหฤทัยในสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ เป็นอย่างยิ่ง
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ นับได้ว่าทรง เป็นนักกฎหมายที่ยึดหลักนิติธรรมในการใช้กฎหมายเป็นวิชาชีพ ทรงมีส่วนสำคัญมากที่สุดพระองค์หนึ่งในการพัฒนางานด้านกฎหมายในประเทศไทยให้มีความก้าวหน้าอีกทั้งทรงเป็นผู้วางรากฐานต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับกฎหมาย ทรงมีผลงานทางกฎหมายมากมายหลายประการ เช่น
               1. ทรงเป็นกำลังสำคัญในการเปลี่ยนแปลงและจัดวางระเบียบศาลยุติธรรมของประเทศจากระบบเก่า มาสู่ระบบใหม่ ปรับปรุงศาลต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมือง พร้อมทั้งแก้บทกฎหมายวิธีการพิจารณาความอาญาขึ้นใหม่ ทำให้ระบบของศาลยุติธรรมของประเทศไทยมีความก้าวหน้าทัดเทียมกับต่างประเทศ
               2. ทรงเป็นประธานกรรมการ ยกร่างกฎหมายลักษณะอาญาพุทธศักราช 2451 ซึ่งถือว่าเป็นประมวลกฎหมายไทยฉบับแรก ต่อมาใน วันที่ 1 มกราคม พุทธศักราช 2500 ได้มีประกาศให้ใช้ประมวลกฎหมายอาญา พุทธศักราช 2499 แทน กฎหมายลักษณะอาญา พุทธศักราช 2451 นี้นับได้ว่าเป็นพื้นฐานที่มาของประมวลกฎหมายอาญาในปัจจุบัน
               3. ทรงตั้งโรงเรียนสอนวิชากฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.. 2440 โดยพระองค์ทรงเป็นครูสอนร่วมกับพระยาประชากิจกรจักร (แช่ม บุนนาค) ขุนหลวงพระยาไกรสี (เปล่ง เวภาระ) กรมหลวงพิชิตปรีชากรและพระองค์เจ้าวัชรีวงษ์ โดยมีผู้สนใจเข้าศึกษาเป็นจำนวนมาก
               4. ทรงนิพนธ์ตำราคำอธิบายกฎหมายลักษณะต่าง ๆ ไว้เป็นจำนวนมาก เช่น ทรงรวบรวมพระราชบัญญัติบางฉบับ คำพิพากษาบางเรื่อง โดยจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ มีคำอธิบาย และสารบาญไว้อย่างละเอียด นอกจากนี้ ยังทรงรวบรวมกฎหมายตราสามดวง โดยให้ชื่อว่า "กฎหมายราชบุรี"
               5. ทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสินความฎีกา ซึ่งกรรมการชุดนี้มีชื่อเรียกว่า "ศาลกรรมการฎีกา" ทำหน้าที่เป็นศาลสูงสุดของประเทศแต่มิได้สังกัดกระทรวงยุติธรรม ต่อมาศาลกรรมการฎีกาได้เปลี่ยนมาเป็นศาลฎีกาในปัจจุบัน
               6. ทรงตั้งกองพิมพ์ลายมือขึ้นที่กองลหุโทษ เมื่อ พ.. 2443 สำหรับตรวจพิมพ์ลายมือผู้ต้องหาในคดีอาญา โดยได้เสด็จไปสอนวิชาตรวจเส้นลายมือและวิธีเก็บเส้นลายมือด้วยพระองค์เอง ซึ่งงานชิ้นนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ลายมือที่กรมตำรวจทำอยู่ทุกวันนี้
               7. ทรงปรับปรุงกิจการกรมทะเบียนที่ดินให้ก้าวหน้า เช่น การแก้ปัญหาข้อกฎหมายต่าง ๆ ในเรื่องการ ทะเบียนที่ดินให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชบัญญัติออกโฉนดที่ดินฉบับที่ 2 ซึ่งได้ประกาศใช้เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2459 และฉบับที่ 3 ประกาศใช้เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2462
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ สิ้นพระชนม์เมื่อ วันที่ 7 สิงหาคม พ..2463 ด้วยโรควัณโรคที่พระวักกะ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในขณะที่มีพระชนมายุได้ 47 พรรษา
ในวันที่ 7 สิงหาคม ของทุกปี บรรดานักกฎหมายไทย อาทิเช่น ผู้พิพากษา อัยการ ทนายความ อาจารย์สอนวิชากฎหมาย นิติกร ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องในทางนิติศาสตร์ทั้งหมดได้พร้อมใจกันจัดกิจกรรมต่าง ๆ ขึ้น เพื่อน้อมรำลึกถึงพระกรุณาธิคุณของพระองค์ ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" และเรียกวันนี้ว่า "วันรพี"
กฎหมายนั้นมีความหมายอยู่หลายประการ ซึ่งความหมายจะแปรเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น ลักษณะของสังคมที่แตกต่างกัน สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ความต้องการของประชาชนในสังคม นั้น ๆ แต่หลักที่สำคัญและเป็นความหมายของกฎหมายโดยทั่วไปจะมีอยู่ 4 ประการ คือ
1. กฎหมายต้องเป็นคำสั่ง
2. กฎหมายถูกกำหนดขึ้นโดยผู้มีอำนาจในสังคม
3. กฎหมายใช้บังคับและเป็นที่ทราบแก่คนทั่วไป
4. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับแก่ผู้ฝ่าฝืน

ทฤษฎีของกฎหมาย :
มี 2 แนวคิด ดังนี้
              1. กฎหมายนั้นมีหรือเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติอยู่แล้ว กฎหมายลักษณะแนวคิดนี้จะเกิดจากความรู้สึกผิดชอบของมนุษย์ ที่เกิดจากภาวะในใจที่จะไม่อยากให้ใครกดขี่ข่มเหงและก็คิดว่าตัวเองก็ ไม่ควรจะไปกดขี่ข่มเหงคนอื่นเช่นกัน
              2. กฎหมายเกิดขึ้น โดยฝ่ายปกครองบ้านเมืองเป็นผู้กำหนดให้มีขึ้นลักษณะแนวคิดนี้จะเป็นการบัญญัติให้มีขึ้นตามความต้องการของสังคมที่จะมีเหตุผลหลายประการนำมาบัญญัติเป็นกฎหมายและผู้ที่จะสามารถออกกฎหมายได้จะต้องเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสังคมนั้น ๆ ที่เราเรียกว่ารัฏฐาธิปัตย์ จากแนวคิดดังกล่าว กฎหมายที่เกิดขึ้นโดยฝ่ายปกครองบ้านเมืองค่อนข้างจะมีอิทธิพลมากกว่าแนวคิดแรก เพราะเป็นเรื่องที่มองเห็นได้ชัดเจน และสามารถบังคับได้แน่นอน สร้างประสิทธิภาพได้ดี ที่สุด นอกจากแนวคิด 2 แนวที่วางหลักไว้อย่างเป็นสากลแล้ว ยังมีผู้ที่ได้พยายามให้ ความหมายทางด้าน ทฤษฎีกฎหมายหลายท่าน เช่น
                1. พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระองค์ได้รับสมญาว่าพระบิดาแห่งกฎหมายไทย ได้ทรงอธิบายไว้ว่า กฎหมายคือ คำสั่งทั้งหลายของผู้ปกครองว่าการแผ่นดินต่อราษฎรทั้งหลาย เมื่อไม่ทำแล้วตามธรรมดาต้องรับโทษ
                2. ศาสตราจารย์หลวงจำรูญ เนติศาสตร์ได้อธิบายเอาไว้ว่า "กฎหมายได้แก่ กฎข้อบังคับว่าด้วยการปฏิบัติทั้งผู้มีอำนาจของประเทศได้บัญญัติขึ้นและบังคับให้ผู้ที่อยู่ในสังกัดของประเทศนั้นถือปฏิบัติตาม"
                3. ศาสตราจารย์ เอกูต์ ชาวฝรั่งเศส ได้อธิบายเอาไว้ว่า "กฎหมายเป็นคำสั่งหรือข้อห้าม ซึ่งมนุษย์ต้องเคารพในความประพฤติต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน อันมาจากรัฏฐาธิปัตย์ หรือหมู่มนุษย์มีลักษณะทั่วไปใช้บังคับได้เสมอไปและจำต้องปฏิบัติตาม"

ความสำคัญของกฎหมาย

                มนุษย์เป็นสัตว์สังคมอยู่ร่วมกันเป็นหมู่ เป็นเหล่า ความเจริญของสังคมมนุษย์นั้นยิ่งทำให้สังคมมีความ สลับซับซ้อน ตามสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว ย่อมชอบที่จะกระทำสิ่งใด ๆ ตามใจชอบ ถ้าหากไม่มีการ ควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็จะกระทำในสิ่งที่เกินขอบเขต ยิ่งสังคมเจริญขึ้นเพียงใด วามจำเป็น ที่จะต้องมีมาตรฐานในการกำหนดพฤติกรรมของมนุษย์ ที่จะต้องถือว่าเป็นมาตรฐานอันเดียวกันนั้นก็ยิ่งมี มากขึ้น เพื่อใช้บังคับเป็นการทั่วไปแก่ทุกคนในลักษณะของกฎเกณฑ์และข้อบังคับต่าง ๆ ซึ่งจะกำหนด วิถีทางการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวันตั้งแต่เกิดจนตาย  กฎเกณฑ์และข้อบังคับหรือวิธีการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์มีการพัฒนา และมีวิวัฒนาการต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง ดังนั้นเราจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่ากฎหมายไม่มีความจำเป็น และเกี่ยวข้องกับชีวิตคนเรา ในปัจจุบันนี้ กฎหมายได้เข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเรามาก ตั้งแต่เราเกิดก็จะต้องแจ้งเกิดเพื่อขอสูติบัตร เมื่ออายุครบ 7 ปีบริบูรณ์ ก็ต้องทำบัตรประจำตัวประชาชน จะสมรสกันก็ต้องจดทะเบียนสมรสจึงจะ สมบูรณ์และในระหว่างเป็นสามี ภรรยากันกฎหมายก็ยังเข้ามาเกี่ยวข้องไปถึงวงศาคณาญาติอีกหรือจน ตายก็ต้องมีใบตาย เรียกว่าใบมรณะบัตร และก็ยังมีการจัดการมรดกซึ่งกฎหมายก็ต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เสมอนอกจากนี้ในชีวิตประจำวันของคนเรายังมีความเกี่ยวข้องกับ ผู้อื่น เช่นไปตลาดก็มีการซื้อขายและ ต้องมี กฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องในเรื่องการซื้อขาย หรือการ ทำงานเป็นลูกจ้าง นายจ้างหรืออาจจะเป็น ข้าราชการก็ต้องมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตลอดเวลา และที่เกี่ยวข้องกับชาติบ้านเมืองก็เช่นกัน ประชาชนมีหน้าที่ต่อบ้านเมืองมากมาย เช่น การปฏิบัติตนตามกฎหมาย หน้าที่ในการเสียภาษีอากร หน้าที่รับราชการทหาร สำหรับชาวไทย กฎหมายต่าง ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องก็มีมากมายหลายฉบัย เช่น กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมายแรงงาน กฎหมายภาษีอากร กฎหมายแพ่ง กฎหมายอาญา "คนไม่รู้ กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว" เป็นหลักที่ว่า บุคคลใดจะแก้ตัวว่าไม่รู้กฎหมายเพื่อให้หลุดพ้นจากความผิด ตามกฎหมายมิได้ ทั้งนี้ ถ้าหากต่างคนต่างอ้างว่าตนไม่รู้กฎหมายที่ทำไปนั้น ตนไม่รู้จริง ๆ เมื่อกล่าวอ้าง อย่างนี้คนทำผิดก็คงจะรอดตัว ไม่ต้องรับผิด ไม่ต้องรับโทษกัน ก็จะเป็นการปิดหูปิดตาไม่อยากรู้กฎหมาย และถ้าใครรู้กฎหมายก็จะต้องมีความผิด รู้มากผิดมากรู้น้อยผิดน้อย ต่จะอ้างเช่นนี้ไม่ได้เพราะถือว่าเป็น หลักเกณฑ์ของสังคมที่ประชาชนจะต้องมีความรู้ เรียนรู้กฎหมาย เพื่อขจัดข้อปัญหาการขัดแย้ง ความ ไม่เข้าใจกัน ด้วยวิธีการที่เรียกว่า กฎเกณฑ์อันเดียวกันนั้นก็คือ กฎหมาย นั่นเอง

ประโยชน์ของกฎหมาย

               ประโยชน์ของกฎหมายอาจจะแบ่งออกได้เป็นหลาย ๆ ข้อ ทั้งสามารถนำเอากฎหมายมาแยกแยะ
ประโยชน์ดังนี้
               1. สร้างความเป็นธรรม หรือความยุติธรรมให้แก่สังคม เพราะกฎหมายเป็นหลักกติกาที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติเสมอภาค เท่าเทียมกัน เมื่อการปฏิบัติของบุคคลใดบุคคลหนึ่งเอาเปรียบคนอื่น ขาดความยุติธรรม กฎหมายก็จะเข้ามาสร้างความยุติธรรม ยุติข้อพิพาทไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกัน ดังที่เรา เรียกกันว่า ยุติธรรม สังคมก็จะได้รับความสุขจากผลของกฎหมายในด้านนี้
               2. รู้จักสิทธิหน้าที่ของตัวเองที่จะปฏิบติต่อสังคม
               3. ประโยชน์ในการประกอบอาชีพ เช่น การเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย การเป็น ทนายความอัยการ ศาล ทั้งจะเป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยต่างฝ่ายต่างช่วยกันรักษาความถูกต้อง ความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม
               4. ประโยชน์ในทางการเมืองการปกครอง เพราะถ้าประชาชนรู้กฎหมายก็จะเป็นการเสริมสร้าง
ความมั่นคงของการปกครอง และการบริหารงานทางการเมือง การปกครอง ประโยชน์สุขก็จะตกอยู่กับ ประชาชน
               5. รักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และศีลธรรมอันดีของประชาชน เพราะกฎหมาย
ที่ดีนั้นจะต้องให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนเท่าเทียมกัน ประชาชนก็จะเกิดความผาสุก ปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อครอบครัว ต่อบุคคลอื่น และต่อประเทศชาติ
หน้าที่ หมายถึง ข้อปฏิบัติของบุคคลทุกคนที่จะต้องกระทำให้เกิดประโยชน์เป็นผลดีต่อประเทศชาติบ้านเมือง หน้าที่ต่าง ๆ ที่จะต้องปฏิบัติ ซึ่งกำหนดเอาไว้ในรัฐธรรมนูญหลายประการ

หน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ
               1. บุคคลมีหน้าที่รักษาไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยหน้าที่ในข้อนี้ถือว่าเป็นหน้าที่อันสำคัญ
               2. บุคคลมีหน้าที่ป้องกันประเทศ หน้าที่ข้อนี้มิใช่ว่าจะเป็นหน้าที่ของทหารเท่านั้น คนไทยทุกคนต้องมีหน้าที่เช่นเดียวกัน
               3. บุคคลมีหน้าที่รับราชการทหารเพราะการเป็นทหารนั้นจะได้ทำหน้าที่ป้องกันประเทศโดยตรงพอถึงวัยหรืออายุตามที่กฎหมายกำหนดก็จะต้องไปรับราชการทหาร แต่ก็มีข้อยกเว้นสำหรับบางคนที่กฎหมายบัญญัติยกเว้นไว้
              4. บุคคลมีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมายเนื่องจากกฎหมายเป็นหลักปฏิบัติในการอยู่ร่วมกันในสังคม
จึงจะละเว้นการปฏิบัติตามกฎหมายไม่ได้
              5. บุคคลมีหน้าที่ช่วยเหลือราชการ เมื่อถึงคราวที่ประชาชนพอจะช่วยเหลือได้ หรือเมื่อทางราชการขอความช่วยเหลือในฐานะที่เป็นประชาชนพลเมืองของชาติจึงต้องมีหน้าที่อันนี้ เช่น การช่วยพัฒนา ถนนหนทาง การช่วยบริจาคทรัพย์สินต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งช่วยกันดูแลความสงบเรียบร้อยของ บ้านเมือง โดยการเป็นหูเป็นตาให้ราชการ

กฎหมายแพ่ง และพาณิชย์ เป็นกฎหมายที่รวบรวมเอา บทบัญญัติเกี่ยวกับเรื่องใน ทางแพ่งและพาณิชย์มาจัด เป็นหมวดหมู่ ลำดับเป็น เรื่อง ๆ ทั้งเป็นกฎหมาย ที่ สำคัญของชาติอีกฉบับหนึ่ง
                 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หมายถึง กฎหมายที่รวมเอาบทบัญญัติที่เกี่ยวกับเรื่องในทางแพ่งและพาณิชย์มาไว้ด้วยกันเป็นหมวดหมู่ จัดระเบียบให้เข้ากัน การจัดทำกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทย เริ่มตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 จนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งเป็นฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พ.. 2535 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มีเนื้อหาอยู่ทั้งหมด 6 บรรพ ที่หมายถึง 6 หมวดหมู่ใหญ่ ๆ เรียง ตามลำดับดังนี้
บรรพที่ 1 ว่าด้วยหลักทั่วไป
บรรพที่ 2 ว่าด้วยหนี้
บรรพที่ 3 ว่าด้วยเอกเทศสัญญา
บรรพที่ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน
บรรพที่ 5 ว่าด้วยครอบครัว
บรรพที่ 6 ว่าด้วยมรดก
               คำว่า "บรรพ" หมายถึง หมวดหมู่ใหญ่ของกฎหมาย หมวดหมู่ที่ย่อยลงมาจากบรรพ คือ ลักษณะ เช่นบรรพ 1 หลักทั่วไป แบ่งออกเป็นลักษณะบุคคล ลักษณะทรัพย์ ลักษณะนิติกรรม เป็นต้น

หลักทั่วไปในบรรพที่ 1

               1. เรื่องบุคคล บุคคล หมายถึง สิ่งที่มีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมาย โดยแบ่งบุคคลออกเป็น 2 ประเภท คือ
                      1.1 บุคคลธรรมดา หมายถึง มนุษย์ซึ่งมีสภาพบุคคลและสิ้นสุดสภาพบุคคลโดยการตายและต้องมีสิ่งซึ่งประกอบ หรือทำให้ความเป็นบุคคลปรากฏชัดเจนขึ้น ตามความประสงค์ของกฎหมายซึ่งเรียกว่า "สิ่งจำแนกตัวบุคคล" คือทำให้บุคคลหนึ่งแตกต่างจากบุคคลอื่น ได้แก่ ชื่อ ภูมิลำเนา
                      1.2 นิติบุคคล หมายถึง กลุ่มบุคคลหลายคนร่วมกันตั้งกลุ่มขึ้นโดยอาศัยอำนาจในทางกฎหมายกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น คณะบุคคล หน่วยงาน บริษัทจำกัด กองทรัพย์สิน ฯลฯ ซึ่งกฎหมายยินยอมให้กระทำการได้ นิติบุคคล ไม่ใช่บุคคลธรรมดาไม่มีชีวิตจิตใจ จึงต้องมีผู้แทนนิติบุคคลแสดงเจตนา หรือกระทำ การแทน เช่น มีกรรมการ ผู้จัดการ เจ้าอาวาสวัด ฯลฯ ทำหน้าที่แทน ประเภทของนิติบุคคลตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น กระทรวง ทบวง กรม วัด ห้างหุ้นส่วนสามัญที่จดทะเบียน แล้ว บริษัทจำกัด สมาคม มูลนิธิ และนิติบุคคลตามกฎหมายอื่น เช่น พรรคการเมือง รัฐวิสาหกิจ เป็นต้น
                2. เรื่องความสามารถของบุคคล
                ความสามารถของบุคคล หมายถึง ความสามารถในการมีสิทธิหรือใช้สิทธิตามกฎหมายปกติแล้วบุคคลทุกคนย่อมมีสิทธิตามกฎหมายทัดเทียมกัน แต่ที่อาจแตกต่างกันออกไปก็คือ ความสามารถนการใช้สิทธิ ซึ่งบางครั้งก็ถูกจำกัดในการใช้ความสามารถ เนื่องจากกฎหมายได้จำกัดเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลนั้น ๆ และผู้ที่เกี่ยวข้องด้วย

              3. เรื่องทรัพย์
              ทรัพย์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ
                      3.1 อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ที่ดิน ทรัพย์อันติดอยู่กับที่ดิน เช่น ตึกรามบ้านช่อง ทรัพย์อันประกอบ เป็นอันเดียวกันกับที่ดิน สิทธิทั้งหลายอันเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ในที่ดิน เช่น สิทธิ ครอบครอง สิทธิอาศัย
                      3.2 สังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ทรัพย์ทั้งหลายอันอาจขน เคลื่อนจากที่แห่งหนึ่งไปอีกแห่งหนึ่งได้ไม่ว่าเคลื่อนด้วยแรงเดินแห่งตัวทรัพย์นั่นเอง หรือเคลื่อนด้วยกำลังภายนอก กำลังแรงแห่งธรรมชาติอันอาจถือเอาได้ เช่น น้ำตก

               4. เรื่องนิติกรรม
               นิติกรรมเป็นศัพท์พิเศษใช้กันในภาษากฎหมาย ซึ่งหมายถึงการกระทำของบุคคลที่ชอบด้วย กฎหมายและโดยสมัครใจ มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล พื่อจะก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิตามเจตนาของบุคคลนั้น แต่มีกรณีหนึ่งที่ไม่ได้สมัครใจและมิได้มุ่งโดยตรงต่อการผูกนิติสัมพันธ์ แต่เป็นการกระทำของบุคคลที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวแห่งสิทธิ โดยเหตุซึ่งเกิดจาก กฎหมายบังคับหรือกำหนดไว้ เรียกว่า นิติเหตุ เช่น ละเมิด จัดการงานนอกสั่ง ลาภมิควรได้และในการ ทำนิติกรรมนั้นขอบเขตที่กฎหมายกำหนดห้ามไว้สำหรับวัตถุประสงค์มี 3 ประการ คือ
                        1. นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ที่เป็นการขัดต่อกฎหมาย เช่น ทำสัญญาจ้างฆ่าคน
                        2. นิติกรรมที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น ทำสัญญาค้าประเวณี
                        3. นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการพ้นวิสัย เช่น ทำสัญญาซื้อขายบ้านที่ถูกไฟไหม้หมดแล้ว

หลักสำคัญเรื่องหนี้ในบรรพที่ 2
                  หนี้ คือ ความผูกพันทางกฎหมายระหว่างบุคคล 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายหนึ่งเรียกว่า "เจ้าหนี้" และอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า "ลูกหนี้" ซึ่งเจ้าหนี้มีสิทธิที่จะเรียกให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้และลูกหนี้ก็มีหน้าที่ 3 อย่างคือ
                  1. กระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามที่ตกลงกับเจ้าหนี้ เช่น นายจ้าง จ้างให้มาร้องเพลงแต่ถ้าไม่มานายจ้างเรียกร้องค่าเสียหายได้
                  2. งดเว้นกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามคำสั่งของเจ้าหนี้ เช่น ให้หยุดตอกเสาเข็ม เพราะจะทำให้ตึกข้าง ๆ ร้าวเสียหาย
                  3. ทำการโอนทรัพย์สินและส่งมอบทรัพย์สิน คือ การโอนทรัพย์สินที่ตกลงกันเอาไว้ การระงับแห่งหนี้ หมายถึง หนี้ได้สิ้นสุดลงหรือได้ระงับลง ซึ่งมีอยู่ 5 กรณี
3.1. โดยการชำระหนี้
3.2. โดยการปลดหนี้
3.3. โดยการหักกลบลบหนี้
3.4. โดยการแปลงหนี้
3.5. โดยหนี้เกลื่อนกลืนกัน

ลักษณะสำคัญของเอกเทศสัญญาในบรรพที่ 3

                เอกเทศสัญญา คือ สัญญาอันเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ ซึ่งมีหลายลักษณะในบรรพ 3 ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยจะยกให้เห็นเป็นบางลักษณะ ดังนี้
ลักษณะที่ 1 ซื้อขาย
               ซื้อขาย คือ สัญญาที่บุคคลฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ขาย โอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง เรียกว่า ผู้ซื้อ โดยผู้ซื้อจะต้องใช้ราคาทรัพย์สินนั้น สัญญาซื้อขายมี 2 อย่าง ตามลักษณะของทรัพย์สิน ดังนี้
                1. สัญญาซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องทำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงาน เจ้าหน้าที่หรืออาจจะทำเป็นสัญญาจะซื้อ จะขาย ก่อนจะไปจดทะเบียนต่อเจ้าพนักงานก็ได้ เช่น การซื้อขายที่ดิน
                2. สัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ ถ้าราคาตกลงกัน 20,000 บาทหรือกว่าขึ้นไปก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ มีการวางมัดจำหรือมีการชำระหนี้บางส่วนจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ถ้าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ส่วนราคาทรัพย์ต่ำกว่านี้ก็ไม่ต้องทำเป็นหนังสือ ก็ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้
ทรัพย์สินที่ห้ามซื้อขาย
                 1. สาธารณสมบัติแผ่นดิน เช่น ที่ชายตลิ่ง ทางน้ำ ทางหลวง ทะเลสาบ ที่ดินที่รัฐบาลหวงห้าม  เช่น ที่ดินในเขตป่าสงวน
                  2. ทรัพย์นอกพาณิชย์ ซึ่งหมายถึงทรัพย์ที่ไม่สามารถถือเอาได้ หรือไม่อาจโอนให้กันโดยโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว
                  3. ทรัพย์สินที่กฎหมายห้ามขายหรือจำหน่าย เช่น รูปถ่าย สมุด หรือสิ่งของอันมีลักษณะเป็นของลามกอนาจาร
                  4. ทรัพย์สินที่กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใดมีไว้ ทรัพย์สินนั้นจะซื้อขายกันไม่ได้ เช่น อาวุธปืนเถื่อน ฝิ่นเถื่อน สุราเถื่อน
ลักษณะที่ 5 เช่าซื้อ
                   สัญญาเช่าซื้อ หมายถึง สัญญาซึ่งเจ้าของเอาทรัพย์สินออกให้เช่า และให้คำมั่นว่าจะขายทรัพย์สินนั้น หรือว่าจะให้ทรัพย์สินนั้นตกเป็นสิทธิแก่ผู้เช่า โดยเงื่อนไขที่ผู้เช่าได้ใช้เงินเป็นจำนวนเท่านั้น เท่านี้ เป็น คราว ๆ สัญญาเช่าซื้อต้องทำเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อผู้เช่าซื้อ และผู้ให้เช่าซื้อ ถ้าหากผู้เช่าซื้อผิดนัด ไม่ใช้เงิน 2 คราวติดต่อกัน หรือกระทำผิดสัญญาในข้อที่เป็นส่วนสาระสำคัญ เจ้าของทรัพย์สินที่ให้ เช่าซื้ออาจบอกเลิกสัญญาได้ ผู้เช่าซื้อจึงควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และห้ามผู้เช่าซื้อจำหน่ายจ่ายโอน ทรัพย์สินที่เช่าซื้อมา ซึ่งอาจมีความผิดฐานยักยอกทรัพย์ได้ เพราะผู้เช่าซื้อยังไม่มีกรรมสิทธิในทรัพย์นั้น จนกว่าจะชำระราคาจนครบถ้วน
ลักษณะที่ 9 ยืม
                     สัญญายืม คือ สัญญาซึ่งคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้ยืม ได้ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่คู่สัญญาอีก ฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่าผู้ยืม และผู้ยืมต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมแก่ผู้ให้ยืม ซึ่งลักษณะของการยืม แยกได้ดังนี้
                1. ยืมใช้คงรูป หมายถึง สัญญาที่บุคคลคนหนึ่งเรียกว่า "ผู้ให้ยืม ให้บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ยืม ได้ใช้สอยทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่าและผู้ยืมสัญญาว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จ" เช่น การยืมรถยนต์ รถจักรยานยนต์ วิทยุ
                2. ยืมใช้สิ้นเปลือง หมายถึง สัญญาซึ่งผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินชนิดใช้ไปสิ้นไปนั้น เป็นปริมาณมีกำหนดให้แก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภทชนิดและปริมาณเช่นเดียวกัน ให้แทนทรัพย์สินซึ่งให้ยืมนั้น
                3. การกู้ยืมนั้น มีบทบัญญัติแยกออกมาต่างหากเป็นกรณีพิเศษ และถือว่าการกู้ยืมเงินเป็นการยืมใช้สิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ซึ่งมีหลักเกณฑ์ดังนี้
                       3.1 การกู้ยืมเงินจะบริบูรณ์ได้ก็ด้วยการส่งมอบเงิน
                       3.2 พยานหลักฐานในการกู้ยืม ถ้ายืมเงินมากกว่าห้าสิบบาทขึ้นไป จะต้องมีหลักฐานกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งที่ลงลายมือชื่อผู้ยืมไว้ จึงจะฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ ในกรณีผิดสัญญาและ ในการคิดดอกเบี้ยจะคิดเกินร้อยละ 15 บาทต่อปี ไม่ได้
                       3.3 การใช้เงินคืน ควรมีการเพิกถอนในเอกสาร คือมีการบันทึกข้อความลงในการกู้ยืมนั้นว่าได้ใช้เงินกันแล้วหรืออาจะเวนคืนเอกสารหลักฐานแห่งการกู้ยืม หรืออาจะให้ผู้ให้ยืมออกใบเสร็จรับเงิน หรือเอกสารอื่นใดก็ได้

หลักสำคัญเรื่องทรัพย์สินในบรรพที่ 4
                ความหมายของคำว่าทรัพย์ หมายถึง วัตถุที่มีรูปร่าง เช่น รถยนต์ วิทยุ บ้านที่ดิน ส่วนสิ่งอื่นที่ไม่มีรูปร่าง เช่น สิทธิ ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร สิทธิในเครื่องหมายการค้า ไม่ใช่ทรัพย์สิน แต่เป็นทรัพย์สินทางปัญญา ความหมายของคำว่า ทรัพย์สิน หมายถึง ทรัพย์และวัตถุไม่มีรูปร่าง ซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้
ดังนั้นคำว่าทรัพย์สินจึงมีความหมายกว้างกว่าทรัพย์  การได้มาและสิ้นไปซึ่งทรัพย์สิน หมายถึง สิทธิเหนือทรัพย์สินหรือเรียกว่า ทรัพย์สินจะเกิดขึ้นได้ก็แต่โดยอำนาจแห่งกฎหมาย เช่น
               1. กรรมสิทธิ์ หมายถึง ความเป็นเจ้าของการครอบครองทรัพย์สินที่สำคัญที่สุด
               2. สิทธิครอบครอง หมายถึง สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน เช่น ผู้เช่าย่อมมีสิทธิครอบครอง
ทรัพย์สิน เช่น ผู้เช่าย่อมมีสิทธิครอบครองทรัพย์สินที่เช่าเจ้าของที่ดินที่ไม่มีโฉนด แต่มีเอกสารอื่นแทน เช่น น.. 3 , .. 1 ก็ถือว่าเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
               3. ภาระจำยอม หมายถึง การที่เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ ต้องรับภาระบางอย่างอันกระทบถึงทรัพย์สินของตน หรือต้องงดเว้นการใช้สิทธิบางอย่าง ซึ่งตนควรจะมีสิทธินั้นอยู่แต่ต้องงดเว้น เช่น การปล่อยให้คนเดินผ่านที่ดินของตนจนเวลาเลย 10 ปีขึ้นไป
               4. สิทธิอาศัย หมายถึง สิทธิบุคคลจะอาศัยอยู่ในโรงเรือนของผู้อื่นโดยไม่ต้องเสีย ค่าเช่า
               5. สิทธิเหนือพื้นดิน หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งมีสิทธิเป็นเจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือสิ่งเพาะปลูกบนดิน หรือใต้ดินนั้น โดยไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินนั้น
               6. สิทธิเก็บกิน หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งมีสิทธิใช้สอย ถือประโยชน์จัดการและเอาประโยชน์บางอย่างจากทรัพย์สินของบุคคลอื่น โดยที่ไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น
               7. ภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์ หมายถึง การที่บุคคลหนึ่งซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหา
ริมทรัพย์ แต่มีสิทธิได้รับชำระหนี้เป็นคราว ๆ จากทรัพย์สินนั้นหรือได้ใช้ ตลอดจนถือเอาซึ่งประโยชน์ แห่งทรัพย์สินนั้น
                8. ทางจำเป็น หมายถึง ที่ดินแปลงใดที่มีที่ดินแปลงอื่นล้อมอยู่เช่น สระ บึง หรือทะเลล้อมอยู่จนไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ก็มีสิทธิสามารถที่จะผ่านที่ดินที่ล้อมอยู่ได้
                หมายเหตุ ตามข้อ 4-7 ถ้าไม่จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะใช้ยันบุคคลภายนอกไม่ได้ใช้ยันได้เฉพาะคู่กรณี และเฉพาะสิทธิเหนือพื้นดินตกทอดทางมรดกได้เท่านั้น


หลักสำคัญเรื่องครอบครัวในบรรพที่ 5
1. การหมั้น
                ชายและหญิงจะทำการหมั้นกันได้ต่อเมื่อต่างมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด อายุไม่ถึง 17 ปีบริบูรณ์ การหมั้นนั้นย่อมเป็นโมฆะ การหมั้นจะต้องมีของหมั้นและจะต้องส่งมอบหรือโอนทรัพย์สิน อันเป็นของหมั้นแก่หญิงและตกเป็นสิทธิแก่หญิงทันที การหมั้นจะต้องได้รับความยินยอมดังต่อไปนี้
1. บิดาและมารดาในกรณีที่มีทั้งบิดามารดา
2. บิดาหรือมารดาในกรณีที่บิดาหรือมารดาตายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกถอนอำนาจปกครอง
3. ผู้รับบุตรบุญธรรม ในกรณีที่ผู้เยาว์เป็นบุตรบุญธรรม
4. ผู้ปกครอง ในกรณีที่ไม่มีบุคคลซึ่งอาจให้ความยินยอมตามข้อ 1 2 3 ได้การหมั้นที่ทำโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวเป็นโมฆียะ
2. การสมรส
                 การสมรสจะทำได้ต่อเมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปีบริบูรณ์ แต่ในกรณีที่มีเหตุอันสมควรศาลอาจอนุญาตให้ทำการสมรสก่อนได้ และการสมรสจะถือว่าชอบด้วยกฎหมาย ก็ต่อเมื่อมีการจดทะเบียนสมรสกันแล้ว
ประโยชน์ของการจดทะเบียนสมรส
                 1. เป็นหลักประกันความมั่นคงว่า เมื่อคู่สมรสได้จดทะเบียนสมรสกันแล้ว สามีหรือภรรยาจะไปจดทะเบียนสมรสอีกไม่ได้ ถ้ามีการจดทะเบียนสมรสอีกฝ่ายหนึ่งยกขึ้นกล่าวอ้างได้โดยไม่ต้องรอ ให้ศาลพิพากษาเสียก่อน
                 2. ได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้
                 3. ชายหญิงที่อายุ 17 ปีบริบูรณ์ แต่ยังไม่ถึง 20 ปีบริบูรณ์ เมื่อจดทะเบียนสมรสโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ก็กลายเป็นผู้บรรลุนิติภาวะคือ สามารถทำกิจการงานได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอม จากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง แม้จะหย่ากันในภายหลังก็ยังบรรลุนิติภาวะอยู่อย่างเดิม
3. ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา
 ทรัพย์สินระหว่างสามีภรรยา 2 ประเภท
             3.1 สินส่วนตัว ได้แก่ทรัพย์สินที่ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอยู่ก่อนสมรส

      • เป็นเครื่องใช้สอยส่วนตัว เครื่องแต่งกาย หรือเครื่องประดับกายตามสมควรแก่ฐานะ หรือเครื่องมือเครื่องใช้ที่จำเป็นในการประกอบอาชีพหรือวิชาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
      • ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส โดยการรับมรดก หรือโดยการให้โดยเสน่หา
      • ของหมั้น
               3.2 สินสมรส ได้แก่ ทรัพย์สินที่
      • คู่สมรสได้มาในระหว่างสมรส
      • ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรม หรือโดยการให้เป็นหนังสือ เมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส
      • เป็นดอกผลของสินส่วนตัว
      • ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใดเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส
4. ความสัมพันธ์ในครอบครัว
              4.1 สามีภรรยาต้องอยู่กินกันฉันสามีภรรยา และต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน
              4.2 บุตรมีสิทธิใช้นามสกุลของบิดาและมีสิทธิรับมรดกของบิดา
              4.3 บิดามารดาต้องอุปการะเลี้ยงดูบุตร จนกระทั่งบุตรบรรลุนิติภาวะต้องให้การศึกษาแก่บุตรแม้บุตรจะอายุ 20 ปีแล้ว แต่พิการและหาเลี้ยงตัวเองไม่ได้ ก็ยังต้องอุปการะ เมื่อบุตรบรรลุนิติภาวะแล้ว ต้องอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา
             4.4 บุตรจะฟ้องบุพการีของตนไม่ได้
             4.5 บิดามารดามีอำนาจปกครองบุตร ซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ
             4.6 บุคคลที่จะรับผู้อื่นเป็นบุตรบุญธรรมได้ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 25 ปี และต้องแก่กว่าผู้ที่จะมาเป็นบุตรบุญธรรมอย่างน้อย 15 ปี
             4.7 บุตรบุญธรรมย่อมมีฐานะเช่นเดียวกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม


ลักษณะสำคัญเรื่องมรดกในบรรพที่ 6
                เมื่อบุคคลใดตายถ้าทำพินัยกรรมไว้มรดกก็จะตกทอดแก่บุคคลที่ผู้ตายได้ระบุไว้ในพินัยกรรมหากไม่ได้ทำพินัยกรรมไว้มรดกก็จะตกทอดแก่บุคคลที่เป็นญาติและคู่สมรสของผู้ตายดังนั้น  ทายาทที่มีสิทธิในการรับมรดกจึงมีอยู่ 2 กรณี คือ
               1. สิทธิตามกฎหมาย ผู้รับมรดก เรียกว่า ทายาทโดยธรรม
               2. สิทธิตามพินัยกรรม ผู้รับมรดก เรียกว่า ผู้รับพินัยกรรม
พินัยกรรม คือ การแสดงเจตนากำหนดการเผื่อตายเอาไว้ พินัยกรรมจะมีหลายแบบ เช่น
              1. แบบธรรมดาหรือทั่วไป
              2. แบบเขียนเองทั้งฉบับ
              3. แบบเอกสารฝ่ายเมือง
              4. แบบเอกสารลับ
              5. แบบทำด้วยวาจา
              6. แบบทำในต่างประเทศ
              7. แบบทำในภาวะสงคราม
              พินัยกรรมทั้ง 7 แบบ มีแบบที่สำคัญซึ่งเป็นแบบที่ง่าย ๆ คือ แบบเขียนเองทั้งฉบับ เพราะเขียนด้วยลายมือผู้ทำพินัยกรรมเองตลอดทั้งฉบับ โดยมีวัน เดือน ปี ที่ทำพินัยกรรม มีข้อความตามต้องการ และไม่ต้องมีพยานรู้เห็นในการทำพินัยกรรมแต่อย่างใด

กฎหมายอาญา
               เป็นกฎหมายที่รวมเอา บทบัญญัติความผิดในทางอาญา รวมทั้การลงโทษมีจุดมุ่งหมายเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
               กฎหมายอาญา
คือ กฎหมายที่รวมเอาลักษณะความผิดต่าง ๆ และกำหนดบทลงโทษมาบัญญัติขึ้นด้วยมีจุดประสงค์จะรักษาความสงบเรียบร้อยภายในสังคม การกระทำที่มีผลกระทบกระเทือนต่อสังคม หรือคนส่วนใหญ่ของประเทศถือว่าเป็นความผิดทางอาญาหากปล่อยให้มีการแก้แค้นกันเองหรือ ปล่อยให้ผู้กระทำผิดแล้วไม่มีการลงโทษจะทำให้มีการกระทำความผิดทางอาญามากขึ้นสังคมก็จะขาด ความสงบสุข

ความรับผิดในทางอาญาหรือการกระทำความผิดทางอาญาซึ่งจะเกิดผลร้ายทำให้ถูกลงโทษนอก จากจะต้องเป็นการกระทำที่มีกฎหมายบัญญัติว่า เป็นความผิดแล้วผู้กระทำผิดยังต้องทำไปด้วยเจตนาด้วย ยกเว้นการกระทำบางชนิดที่มีกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนว่า แม้กระทำโดยไม่เจตนา หรือกระทำ โดยประมาทก็ต้องรับผิด
               เจตนา คือ การกระทำผิดทางอาญาที่ผู้กระทำรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่ตนทำนั้นเป็นความผิดแล้วยังทำลงไปทั้ง ๆ ที่รู้สำนึกในการที่กระทำ
               ประมาท คือ การกระทำที่ผู้กระทำมิได้ตั้งใจให้เกิดผลร้ายแก่ใคร แต่เนื่องจากกระทำโดยไม่ระมัดระวังหรือระมัดระวังไม่เพียงพอ ทำให้เกิดผลร้ายแก่ผู้อื่น
               ไม่เจตนา คือ การกระทำที่ผู้กระทำตั้งใจทำเพื่อให้เกิดผลอย่างหนึ่ง แต่ผลเกิดขึ้นมากกว่าที่ตั้งใจไว้
                พยายามกระทำความผิด คือผู้กระทำความผิดได้ลงมือกระทำความผิดแต่กระทำไปไม่ตลอดหรือกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล
                ตัวการ คือ กรณีที่ความผิดได้เกิดขึ้นโดยการกระทำของบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ผู้ที่ได้ร่วมกระทำ ความผิดด้วยกันนั้นเป็นตัวการ
               ผู้สนับสนุน คือ ผู้ที่กระทำด้วยประการใดๆอันเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิดก่อนหรือขณะกระทำความผิด
                ความผิดต่อแผ่นดิน คือ ความผิดในทางอาญาในเรื่องนั้นเป็นเรื่องที่นอกจากจะมีผลต่อตัวผู้รับผลร้ายแล้วยังมีผลกระทบต่อสังคมเสียหายอีกด้วย และยอมความไม่ได้
                ความผิดต่อส่วนตัว คือ ความผิดในทางอาญาซึ่งไม่ได้มีผลร้ายกระทบต่อสังคมโดยตรง หากตัวผู้รับผลร้ายไม่ติดใจเอาความแล้ว รัฐก็ไม่อาจยื่นมือเข้าไปดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้และถึงแม้จะได้ ดำเนินคดีไปบ้างแล้ว เมื่อตัวผู้เสียหายพอใจยุติคดีเพียงใดก็ย่อมทำได้ด้วยการถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความได้
สภาพบังคัญทางอาญา "บุคคลจักต้องรับโทษในทางอาญาต่อเมื่อได้กระทำการอันกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำนั้น บัญญัติเป็นความผิดและกำหนดโทษไว้และโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นต้องเป็นโทษที่ บัญญัติไว้ในกฎหมาย" ลักดังกล่าวนี้เป็นหลักสภาพบังคับทางอาญาที่สำคัญซึ่งอาจจะถือได้ว่า เป็นหัวใจของ กฎหมายอาญา หลักนี้ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของกฎหมายอาญาเอาไว้ 4 ประการ คือ
1. กฎหมายอาญาต้องชัดเจนแน่นอน
2. ห้ามใช้กฎหมายจารีตประเพณีลงโทษทางอาญาแก่บุคคล
3. ห้ามใช้กฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งลงโทษทางอาญาแก่บุคคล
4. กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อนหลัง
โทษทางอาญาหรือสภาพบังคับทางอาญานั้น มีผลหรือมาตรการที่รุนแรงในเรื่องการจำกัดสิทธิ ในร่างกาย ดังนั้นจะต้องมีความชัดเจนแน่นอนไม่กำกวม ซึ่งแตกต่างจากกฎหมายแพ่งกล่าวคือ ในกฎหมายแพ่งนั้นมีหลักอยู่ว่าจะปฏิเสธว่าไม่มีกฎหมายมาปรับใช้ไม่ได้ส่วนกฎหมายอาญานั้น จะอุดช่องว่างของกฎหมายโดยการเทียบเคียงบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในทางที่เป็นโทษไม่ได้ แต่ในทางที่เป็นคุณแล้วย่อมกระทำได้
ความผิดตามกฎหมายอาญามีหลายประเภท แบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 9 กลุ่มจะกล่าวเฉพาะ ความผิดที่มีผลกระทบต่อประชาชนและเป็นคดีความไปสู่ศาลมากน้อยตามลำดับ ดังนี้
1. ความผิดเกี่ยวกับทรัพย์ของผู้อื่น
      • ลักทรัพย์
      • วิ่งราวทรัพย์
      • ชิงทรัพย์
      • ปล้นทรัพย์
      • ยักยอกทรัพย์
      • ฉ้อโกงทรัพย์
      • รับของโจร
      • บุกรุก
      • ทำให้เสียทรัพย์
2. ความผิดเกี่ยวกับชีวิตร่างกายผู้อื่น
      • ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
      • ฆ่าผู้อื่นโดยไม่เจตนา
      • ทำร้ายร่างกายผู้อื่น
      • ความผิดฐานทอดทิ้งเด็ก คนป่วย หรือคนชรา
3. ความผิดเกี่ยวกับเพศ
               ได้แก่ การกระทำให้เกิดความเสื่อมเสียในทางเพศแก่ผู้อื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเด็กสาว หรือหญิงสาว แต่บางความผิดอาจเป็นผู้ชายหรือคนชราก็ได้
4. ความผิดเกี่ยวกับการปลอมแปลง
               การปลอมแปลง คือ การทำให้มีขึ้นซึ่งของปลมอ เช่น ธนบัตรปลอม เอกสารปลอมโฉนดที่ดินปลอม การแปลง คือ การทำของเดิมซึ่งมีอยู่จริงเปลี่ยนสภาพไป เช่น เจาะเอาเนื้อเงินออกจากเหรียญห้าบาทบางส่วน
5. ความผิดเกี่ยวกับการก่อให้เกิดภยันตรายต่อประชาชน
      • ความผิดฐานการวางเพลิงเผาทรัพย์ผู้อื่น
      • ทำให้เกิดเพลิงไหม้โดยประมาท
      • ปลอมปนอาหาร ยา เครื่องอุปโภค บริโภค
6. ความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงของประเทศชาติ
      • การคิดร้ายทำลายสถาบันกษัตริย์
      • การคิดร้ายทำลายผู้แทนของประเทศที่มีสัมพันธไมตรีกับไทย
      • การคิดร้ายต่อประเทศไทย
7. ความผิดเกี่ยวกับการปกครอง
      • การดูถูก ดูหมิ่นเจ้าพนักงาน
      • การติดสินบนเจ้าพนักงาน
      • การต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน
8. ความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ
      • เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ของทางราชการ
      • เจ้าพนักงานรับสินบนจากประชาชน
      • เจ้าพนักงานใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยมิชอบ
      • เจ้าพนักงานทุจริตต่อหน้าที่
      • เจ้าพนักงานละทิ้งหน้าที่
9. ความผิดลหุโทษเป็นความผิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ซึ่งมีลักษณะสำคัญดังต่อไปนี้
      • ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท
      • แม้กระทำโดยไม่มีเจตนาก็เป็นความผิด
      • ผู้พยายามหรือผู้สนับสนุนไม่ต้องรับโทษ
-------------------------------------------------------------------
ที่มา : ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมาย (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช : 2539)
        : ประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับราชกิจจานุเบกษาและแก้ไขเพิ่มเติม)
       
: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  (ฉบับราชกิจจานุเบกษาและแก้ไขเพิ่มเติม)
       
: (http://www.metro.police.go.th
)  วันที่ 4  สิงหาคม 2551


                                  สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
                                    (Association of Southeast Asian Nations)
                                                   -------------------------------------------------------
การจัดตั้ง
            สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือ อาเซียน ได้รับการจัดตั้งขึ้นในวันที่ 8 สิงหาคม 2510 ณ วังสราญรมย์ ในกระทรวงการต่างประเทศ กรุงเทพมหานคร โดยมีประเทศสมาชิกเริ่มแรก 5 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย ต่อมา บรูไน ดารุสซาลามได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกในวันที่ 8 มกราคม 2527 เวียดนามได้เข้าร่วมเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2538 ลาวและพม่าเข้าร่วมเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2540 และกัมพูชาเมื่อวันที่ 30 เมษายน 2542
           ภูมิภาคอาเซียนนั้น ประกอบด้วยประชากรประมาณ 567 ล้านคน มีพื้นที่โดยรวม 4.5 ล้านตารางกิโลเมตร ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติประมาณ 1,100 พันล้านดอลลาร์ และรายได้โดยรวมจากการค้าประมาณ 1,400 พันล้านดอลลาร์ (สถิติในปี 2550)

วัตถุประสงค์
          ปฏิญญาอาเซียน (The ASEAN Declaration) ได้ระบุว่า เป้าหมายและจุดประสงค์ของอาเซียน คือ 1) เร่งรัดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคมและการพัฒนาวัฒนธรรม ในภูมิภาค และ 2) ส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในภูมิภาค โดยการเคารพหลักความยุติธรรมและ หลักนิติธรรมในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในภูมิภาค ตลอดจนยึดมั่นในหลักการแห่ง กฎบัตรสหประชาชาติ
          ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของการก่อตั้งอาเซียน ในปี 2540 (ค.ศ.1997) ผู้นำของประเทศสมาชิกอาเซียนได้รับรองวิสัยทัศน์อาเซียน 2020” (ASEAN Vision 2020) โดยเห็นพ้องกันในวิสัยทัศน์ร่วมของอาเซียนที่จะเป็นวงสมานฉันท์ในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอก การใช้ชีวิตในสภาพที่มีสันติภาพ เสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรือง ผูกมัดกันเป็นหุ้นส่วนในการพัฒนา ที่มีพลวัตและในประชาคมที่มีความเอื้ออาทรระหว่างกัน
           ปี 2546 ผู้นำอาเซียนได้เห็นพ้องกันที่จะจัดตั้งประชาคมอาเซียนที่ประกอบด้วย 3 เสาหลัก อันได้แก่ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community–ASC) ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community-AEC) และประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community-ASCC) ภายในปี 2563 ต่อมา ในการประชุม สุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 ที่เมืองเซบู ฟิลิปปินส์ ผู้นำประเทศอาเซียนตกลงที่จะเร่งรัดกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียนให้แล้วเสร็จภายในปี 2558



หลักการพื้นฐานของความร่วมมือ
               ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ยอมรับในการปฏิบัติตามหลักการพื้นฐานในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกัน อันปรากฏอยู่ในสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia หรือ TAC) ซึ่งประกอบด้วย
  • การเคารพซึ่งกันและกันในเอกราช อธิปไตย ความเท่าเทียม บูรณาการแห่งดินแดนและเอกลักษณ์ประจำชาติของทุกชาติ
  • สิทธิของทุกรัฐในการดำรงอยู่โดยปราศจากจากการแทรกแซง การโค่นล้มอธิปไตยหรือการบีบบังคับจากภายนอก
  • หลักการไม่แทรกแซงกิจการภายในซึ่งกันและกัน
  • ระงับความแตกต่างหรือข้อพิพาทโดยสันติวิธี
  • การไม่ใช้การขู่บังคับ หรือการใช้กำลัง และ
  • ความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพระหว่างประเทศสมาชิก
โครงสร้างองค์การของอาเซียน
             องค์กรสูงสุดของอาเซียนคือ ที่ประชุมสุดยอดอาเซียนหรือที่ประชุมของประมุขหรือหัวหน้ารัฐบาลของประเทศสมาชิกอาเซียน (ASEAN Summit) โดยจะมีที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ (ASEAN Ministerial Meeting) และที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Ministers’ Meeting) เป็นองค์กรระดับรอง และอาจมีที่ประชุมระดับรัฐมนตรีด้านอื่นๆ ด้วย การประชุมระดับผู้นำและรัฐมนตรีถือเป็นองค์กรระดับนโยบายชั้นสูง รองลงมาจะเป็นที่ประชุมระดับเจ้าหน้าที่อาวุโส หรือระดับปลัดกระทรวง (Senior Officials’ Meeting -SOM) ทำหน้าที่กำหนดนโยบาย และเร่งรัดการดำเนินการตามนโยบายของที่ประชุมระดับผู้นำและระดับรัฐมนตรี ส่วนที่ประชุมคณะกรรมการประจำอาเซียน (ASEAN Standing Committee -ASC) ซึ่งประกอบด้วยอธิบดีกรมอาเซียนของประเทศสมาชิก จะทำหน้าที่กำหนดแนวทาง และเร่งรัดการดำเนินการตามมติที่ประชุมสุดยอดอาเซียนและที่ประชุมระดับรัฐมนตรี รวมทั้งให้ความเห็นชอบโครงการความร่วมมือด้านต่างๆ ภายในอาเซียนและระหว่างอาเซียน กับประเทศคู่เจรจา ตลอดจนรับทราบผลการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการอาเซียน ทั้งนี้ อาเซียนจะตัดสินใจในเรื่องใดๆ โดยใช้ฉันทามติ
              นอกจากนี้ ยังมีคณะกรรมการอาเซียนในประเทศที่สาม (ASEAN Committee in Third Countries) ซึ่งประกอบด้วยเอกอัครราชทูตของประเทศสมาชิกอาเซียนในประเทศคู่เจรจาทั้ง 10 ประเทศ และในประเทศอื่นๆ ที่อาเซียนเห็นสมควรให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการอาเซียนในประเทศที่สามจะทำหน้าที่ให้ข้อมูลและวิเคราะห์ท่าทีของประเทศที่คณะกรรมการอาเซียนตั้งอยู่
สำนักเลขาธิการอาเซียนซึ่งตั้งอยู่ที่กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ทำหน้าที่เป็นศูนย์ประสานงานในการดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศสมาชิก มีเลขาธิการอาเซียนเป็นหัวหน้าผู้บริหารสำนักงาน เลขาธิการอาเซียนจะได้รับการเสนอชื่อและแต่งตั้งโดยประเทศสมาชิก (ตามลำดับตัวอักษรภาษาอังกฤษของชื่อประเทศสมาชิก) และมีรองเลขาธิการอาเซียน 2 คน มาจากประเทศสมาชิกอาเซียนเรียงลำดับตามตัวอักษรชื่อภาษาอังกฤษของประเทศ และมีหน่วยงานเฉพาะด้านที่ดำเนินความร่วมมือ ในด้านต่างๆ ทั้งทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
              ในขณะที่กรมอาเซียนของประเทศสมาชิกจะทำหน้าที่เป็นสำนักเลขาธิการแห่งชาติของแต่ละประเทศ ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ของประเทศตนในการดำเนินกิจกรรมความร่วมมือในสาขาต่างๆ นโยบายหลักในการดำเนินงานของอาเซียนเป็นผลมาจากการประชุมหารือในระดับหัวหน้ารัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีเศรษฐกิจ และรัฐมนตรีในสาขาความร่วมมือต่างๆ ของประเทศสมาชิก
              อย่างไรก็ดี โครงสร้างของอาเซียน รวมทั้งสำนักเลขาธิการอาเซียนตามที่กล่าวมาข้าวต้นกำลังจะถูกปรับเปลี่ยนตามกฎบัตรอาเซียนที่คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ต้นปี 2552

ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคง

            อาเซียนเห็นว่า สันติภาพและเสถียรภาพทางการเมืองเป็นพื้นฐานสำคัญต่อการพัฒนา ในด้านต่างๆ จึงมุ่งเน้นการส่งเสริมให้มีความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน (confidence building) ตลอดจน การสร้างเสถียรภาพ (stability) และสันติภาพ (peace) ในภูมิภาค
            ตลอดระยะเวลา 41 ปีที่ผ่านมา อาเซียนสามารถระงับข้อพิพาทไม่ให้ขยายตัวเป็นความตึงเครียดโดยการเจรจาหารือทางการเมืองและการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ผู้นำของประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นพ้องในการจัดตั้งประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political-Security Community–APSC) อันมีจุดมุ่งหมายในการสร้างความมั่นใจว่าประเทศในภูมิภาคจะอยู่ร่วมกันและร่วมกับประเทศอื่นๆ ในโลกด้วยความสงบสุขในสภาพแวดล้อมที่เป็นประชาธิปไตยและมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว
            ประเทศสมาชิกของประชาคมได้ให้คำมั่นสัญญาที่จะพึ่งพากระบวนการแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี และคำนึงว่าความมั่นคงของประเทศสมาชิกจะเกี่ยวโยงกันตามที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ วิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์ร่วมกัน อันประกอบด้วย การพัฒนาด้านการเมือง การกำหนดและยึดถือบรรทัดฐานร่วมกัน การป้องกันความขัดแย้ง การการแก้ไขความขัดแย้ง การสร้างสันติภาพหลังความขัดแย้ง โดยอยู่บนพื้นฐานอันมั่นคงของกระบวนการ หลักการ ความตกลง และโครงสร้างของอาเซียนที่มีวิวัฒนาการมา ช้านาน ซึ่งปรากฏใน เอกสารสำคัญทางการเมืองดังนี้

  • ปฏิญญาอาเซียน (ASEAN Declaration) ณ กรุงเทพฯ วันที่ 8 สิงหาคม 2510
  • ปฏิญญาว่าด้วยเขตสันติภาพ อิสรภาพ และการวางตนเป็นกลาง (Zone of Peace, Freedom and Neutrality Declaration) ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2514
  • ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน (Declaration of ASEAN Concord) ณ บาหลี วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2519
  • สนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty of Amity and Cooperation in Southeast Asia ) ณ บาหลี วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2519
  • ปฏิญญาอาเซียนว่าด้วยทะเลจีนใต้ (ASEAN Declaration on the South China Sea) ณ กรุงมะนิลา วันที่ 22 กรกฎาคม 2535
  • สนธิสัญญาเขตปลอดอาวุธนิวเคลียร์แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Treaty on the Southeast Asia Nuclear-Free Zone : SEAN-FZ) ณ กรุงเทพฯ วันที่ 15 ธันวาคม 2540
  • วิสัยทัศน์อาเซียน 2020 (ASEAN Vision 2020) ณ กัวลาลัมเปอร์ วันที่ 15 ธันวาคม 2540
  • ปฏิญญาว่าด้วยความร่วมมืออาเซียน ครั้งที่ 2 (Declaration of ASEAN Concord II) ณ บาหลี วันที่ 7 ตุลาคม 2546  
            ปัจจุบันอาเซียนกำลังเจรจาจัดทำร่างแผนงานเพื่อจัดตั้ง APSC เพื่อให้ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่จะจัดขึ้นในเดือนธันวาคม 2551 ที่ประเทศไทย ให้การรับรอง ทั้งนี้ เป้าหมายหลักของ APSC ได้แก่ (1) สร้างประชาคมอาเซียนให้มีค่านิยมร่วมกัน (2) ให้อาเซียนสามารถเผชิญกับภัยคุกคาม ความมั่นคงในรูปแบบเดิมและรูปแบบใหม่และส่งเสริมความมั่นคงของมนุษย์ (3) ให้ประชาคมอาเซียนมีปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและสร้างสรรค์กับประชาคมโลก โดยให้อาเซียนมีบทบาทนำในภูมิภาค
             ด้วยตระหนักถึงความเกี่ยวพันกันของความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ประเทศไทย ได้เสนอให้มีการประชุมว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum - ARF) ในปี 2537 โดย ARF จะมุ่งเน้น 3 เรื่องหลักได้แก่ ส่งเสริมการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจกัน (Confidence Building) การพัฒนาการทูตเชิงป้องกัน (Preventive Diplomacy) และการแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict Resolution)
              ประเทศที่เป็นสมาชิกการประชุมว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย บรูไน ดารุสซาลาม กัมพูชา แคนาดา จีน สหภาพยุโรป อินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาหลีเหนือ ลาว มาเลเซีย มองโกเลีย พม่า นิวซีแลนด์ ปากีสถาน ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ รัสเซีย สิงคโปร์ ศรีลังกา ติมอร์-เลสเต ไทย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม
               การประชุมว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกจะหารือเรื่องความมั่นคงในภูมิภาคเป็นหลัก ซึ่งรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมหาอำนาจ การไม่แพร่ขยายของอาวุธที่มีอานุภาพทำลายล้างสูง การต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ สถานการณ์ในทะเลจีนใต้และคาบสมุทรเกาหลี
              นอกจากนี้ อาเซียนยังมีกรอบความร่วมมือทางทหาร (ASEAN Defense Ministerial Meeting -ADMM) เพื่อสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างฝ่ายทหารของประเทศสมาชิก ความร่วมมือ ด้านการป้องกันยาเสพติด การต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติและการก่อการร้าย โดยเฉพาะประเด็นหลังนี้ อาเซียนได้ลงนามในอนุสัญญาอาเซียนว่าด้วยการต่อต้านการก่อการร้าย ในปี 2550
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ
                ประเทศสมาชิกอาเซียนได้จัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน (ASEAN Free Trade Area –AFTA) ในปี 2535 ตามข้อเสนอของนายอานันทน์ ปันยารชุน นายกรัฐมนตรีไทยในสมัยนั้น เพื่อเป็นกลไกช่วยขยายการค้าระหว่างประเทศสมาชิกและดึงดูดการลงทุนจากภายนอก ขณะนี้ (ปี 2551) ประเทศสมาชิกอาเซียนเดิม 6 ประเทศ ได้ลดภาษีสินค้าในกรอบ AFTA ทุกรายการลงเหลือร้อยละ 0-5 โดยสินค้าร้อยละ 80 มีอัตราภาษีที่ร้อยละ 0 แล้ว ส่วนสินค้าที่เหลือ ประเทศสมาชิกอาเซียนเดิมมีเป้าหมายที่จะลดอัตราภาษีเป็นร้อยละ 0 ในปี 2553 และประเทศสมาชิกใหม่ (CLMV) ในปี 2558
              สำหรับการค้าบริการได้ทยอยเปิดเสรีมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยมุ่งเน้นใน 7 สาขา คือ การเงิน ขนส่งทางทะเล ขนส่งทางอากาศ การสื่อสาร โทรคมนาคม การท่องเที่ยว ก่อสร้าง และบริการธุรกิจ
             ส่วนการลงทุน ประเทศสมาชิกอาเซียนได้ดำเนินความร่วมมือในการส่งเสริมการลงทุนครอบคลุมสาขาการผลิต เกษตร ประมง ป่าไม้ เหมืองแร่ และบริการที่เกี่ยวข้องกับ 5 สาขาดังกล่าว (services incidental) แต่ยังจำกัดเฉพาะการลงทุนโดยตรง (FDI) ไม่รวมถึงการลงทุนด้านหลักทรัพย์ (portfolio investments)
             นอกจากนี้ อาเซียนมีความตกลงว่าด้วยความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมของอาเซียน (ASEAN Industrial Cooperation - AICO) ซึ่งมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคเอกชน AICO มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันให้กับสินค้าอุตสาหกรรมของอาเซียน โดยสนับสนุนการแบ่งการผลิตภายในภูมิภาค ลดต้นทุนการผลิตโดยการลดภาษีนำเข้าสินค้าสำเร็จรูป กึ่งสำเร็จรูป และวัตถุดิบ แต่มีเพียงอุตสาหกรรมรถยนต์เท่านั้นที่ใช้ประโยชน์จากความตกลงนี้
            พัฒนาการในด้านแนวคิดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนได้เกิดขึ้นอย่างชัดเจน ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 8 เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2545 ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งผู้นำประเทศอาเซียนได้เห็นชอบให้มีการกำหนดทิศทางการดำเนินงานเพื่อไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) ซึ่งอาจะเป็นไปในทำนองเดียวกับประชาคมเศรษฐกิจยุโรปในระยะเริ่มต้น
          อาเซียนได้ดำเนินการหลายด้านเพื่อผลักดันการจัดตั้ง AEC โดยมีแนวทางดำเนินงาน ที่สำคัญ ดังนี้
1. การนำร่องการรวมกลุ่ม 11 สาขาสำคัญ เพื่อส่งเสริมให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และแรงงานฝีมือในสาขานำร่องทั้ง 11 สาขาที่เสรี และสร้างการรวมกลุ่มที่เป็นรูปธรรมพร้อมกำหนดประเทศผู้ประสานงานหลัก (Country Coordinators) ในแต่ละสาขา ดังนี้

ประเทศ
สาขา
อินโดนีเซีย
1) ยานยนต์ 2) ผลิตภัณฑ์ไม้
มาเลเซีย
2) ผลิตภัณฑ์ยาง 4) สิ่งทอ
พม่า
5) ผลิตภัณฑ์เกษตร 6) ผลิตภัณฑ์ประมง
ฟิลิปปินส์
7) อิเล็กทรอนิกส์
สิงคโปร์
8) เทคโนโลยีสารสนเทศ 9) สุขภาพ
ไทย
10) การท่องเที่ยว 11) การบิน
           ทั้งนี้ มีการจัดทำแผนงาน (Roadmap) ของแต่ละสาขาที่ระบุมาตรการสำคัญทั้งที่เป็นมาตรการร่วมและมาตรการเฉพาะของแต่ละสาขาเพื่อส่งเสริมการรวมกลุ่ม โดยเฉพาะการเร่งขจัดอุปสรรคต่างๆ ทั้งในด้านการค้าสินค้า (การเร่งลดภาษีสินค้าในสาขาสำคัญ การขจัดมาตรการกีดกันทางการค้า ที่ไม่ใช่ภาษี) การค้าบริการ และการลงทุน ให้มีการเคลื่อนย้ายทรัพยากรการผลิตได้อย่างเสรี รวมทั้งส่งเสริมการ “outsource” ภายในภูมิภาค เพื่อสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ ในอาเซียน ทั้งนี้ รัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนเห็นชอบให้เพิ่มสาขาโลจิสติกส์เป็นสาขาใหม่สาขาที่ 12 โดยมีเวียดนามเป็นผู้ประสานงานหลักของสาขาดังกล่าว
2. พิมพ์เขียวเพื่อเร่งรัดการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint) แผนงานภายใต้ AEC Blueprint มีเป้าหมายที่จะส่งเสริมให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อน ย้ายสินค้า บริการ การลงทุน แรงงานฝีมืออย่างเสรี และการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่เสรีมากขึ้น ส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียน ลดช่องว่างการพัฒนาระหว่างประเทศสมาชิก และส่งเสริมการรวมตัวเข้ากับประชาคมโลกของอาเซียน ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติ เมื่อวันที่ 2 ตุลาคม 2550 เห็นชอบร่างแผนงานและตารางเวลา และนายกรัฐมนตรี (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) ได้ลงนามในปฏิญญาเกี่ยวกับ AEC Blueprint แล้วในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 ที่สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2550

1.             ประโยชน์จากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียน
การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในระดับภูมิภาค และเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันของอาเซียนในตลาดโลก ซึ่งนับวันจะเริ่มทวีความ รุนแรงมากขึ้น โดยอาเซียนจะสามารถขยายการค้าและการลงทุนทั้งภายในภูมิภาคและระหว่างภูมิภาค ให้สูงขึ้นเนื่องจากการลดอุปสรรคทางด้านภาษี และมาตรการที่ไม่ใช่ภาษีต่าง ๆ
2.             การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจของอาเซียนจะมีส่วนสำคัญในการช่วยขยายการค้าและ การลงทุนภายในภูมิภาคให้สูงขึ้น เนื่องจากทำให้มีการเคลื่อนย้ายสินค้า บริการ การลงทุน และเงินทุนได้ อย่างเสรีมากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการผลิต และส่งเสริมให้มีการใช้วัตถุดิบ/ชิ้นส่วนที่ผลิตภายในภูมิภาค มากยิ่งขึ้น
3.             AEC จะช่วยลดการพึ่งพาตลาดในประเทศที่สาม โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มที่อาเซียนมีศักยภาพและสามารถผลิตได้ในระดับมาตรฐานสากล อาทิ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ ผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ และผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ และเครื่องสำอาง เป็นต้น
4.             การเป็นประชาคมจะช่วยสร้างอำนาจการต่อรองของอาเซียนในเวทีโลก เนื่องจากปัจจุบันแนวโน้มการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ได้เพิ่มมากขึ้นทั้งในกรอบพหุภาคี และกรอบภูมิภาค การรวมกลุ่มของอาเซียนจึงช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองกับกลุ่มเศรษฐกิจอื่น ๆ และนำมาซึ่งผลประโยชน์โดยรวมของภูมิภาค
5.             การเคลื่อนย้ายอย่างเสรีของปัจจัยการผลิตจะช่วยเพิ่มสวัสดิการและยกระดับความเป็นอยู่ของผู้บริโภคให้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคจะสามารถเลือกสรรสินค้าต่าง ๆ ได้หลากหลายมากขึ้น ในราคาที่ถูกลง รวมทั้งได้รับสินค้าที่มีมาตรฐานในระดับภูมิภาคและระดับโลก
6.             ความร่วมมือที่เข้มข้นขึ้นจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของอาเซียนโดยยกระดับกระบวนการผลิต และเกื้อกูลกันในขั้นตอนกระบวนการผลิต ตั้งแต่กระบวนการจัดซื้อ กระบวนการผลิต และการตลาด
7.             ผลประโยชน์ข้างเคียงจากการเป็นประชาคมคือ ช่วยให้เกิดการใช้ทรัพยากรต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อันเนื่องมาจากการประหยัดต่อขนาด (economy of scale) การแบ่งงานกันทำ (division of labor) และการพัฒนาความชำนาญในการผลิต (specialization) ตลอดจนมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ร่วมกัน

โอกาสทางการค้าของไทยจากการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจ
              ในด้านดุลการค้า ก่อนเริ่ม AFTA ไทยขาดดุลการค้ากับกลุ่มอาเซียน โดยมีสัดส่วนการส่งออกของไทยไปอาเซียนคิดเป็น 12% ของการส่งออกของไทยทั้งหมด แต่ภายหลังมี AFTA ในปี 2535 ไทยเป็นฝ่ายได้เปรียบดุลการค้าในระดับสูงมาตลอด และสัดส่วนการส่งออกของไทยไปอาเซียนก็เพิ่มขึ้นตามลำดับคิดเป็น 21% ของการส่งออกของไทยทั้งหมดในปัจจุบัน ทั้งนี้ มูลค่าการค้าส่งออกจากไทยไปอาเซียน 9 เดือนแรกของปี 2550 (ม.ค.-ก.ย.) คิดเป็นมูลค่า 22,932.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก ปี 2549 ในช่วงเดียวกัน (ซึ่งมีมูลค่า 20,156.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) จำนวน 2,776.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยไทยได้เปรียบดุลการค้าเป็นมูลค่า 4,658.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
            ส่วนการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศที่เข้ามายังกลุ่มประเทศอาเซียนระหว่างปี 2538-2549 ปรากฏว่า สัดส่วนการลงทุนมายังไทยเมื่อปี 2538 ซึ่งมีมูลค่า 2,004 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (7.69%ของ FDI ทั้งหมดที่เข้ามายังอาเซียน) และไทยเป็นอันดับ 5 ของแหล่งลงทุนในอาเซียนได้เพิ่มสูงขึ้นเป็นมูลค่า 9,751 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2549 (18.9% ของ FDI ทั้งหมดที่เข้ามายังอาเซียน) ส่งผลให้ไทยเป็นอันดับ 2 ของแหล่งลงทุนในอาเซียน ทั้งนี้ มูลค่าการลงทุนจากอาเซียนมายังไทยในปี 2549 คิดเป็นมูลค่า 2,822.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเทียบเท่าเป็นการเพิ่ม 270.2% เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2548 (762.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)
             ด้านการท่องเที่ยวปรากฎว่า มีนักท่องเที่ยวจากอาเซียนมายังไทยในช่วง 8 เดือนแรกของปี 2550 สูงถึง 2,193,211 คน ส่วนปี 2549 จำนวนนักท่องเที่ยวอาเซียนมายังไทยมีสูงถึง 3,556,395 คน
            ด้านอุตสาหกรรม (AICO) ปรากฎว่า โครงการของไทยภายใต้ AICO ในปี 2550 มีมูลค่า 1,404 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์
            ในส่วนของไทย ภาครัฐได้ให้ความสำคัญกับการส่งเสริมความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนมาโดยตลอด เนื่องจากเล็งเห็นว่า อาเซียนเป็นตลาดที่มีความสำคัญและมีศักยภาพในการเจริญเติบโตต่อไป ประกอบด้วยประชากรรวมกันกว่า 560 ล้านคน
             การส่งเสริมการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจในสาขาสำคัญจะช่วยให้ไทยสามารถขยายการค้าและการลงทุนในสาขาที่ไทยมีศักยภาพได้มากขึ้น เช่น สาขาผลิตภัณฑ์อาหาร ผลิตภัณฑ์ยานยนต์ ผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงสาขาบริการ อาทิ การท่องเที่ยว การบริการสุขภาพ และเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งสาขาต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นสาขาที่อาเซียนจะเร่งรัดการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจให้เห็น ผลเป็นรูปธรรมภายในปี 2553 (ค.ศ.2010)
             ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการไทยจึงจำเป็นต้องเร่งปรับตัวและใช้โอกาสจากการลดอุปสรรคทางการค้าและการลงทุนต่างๆ ลง ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในสาขาที่ไทยมีความพร้อมและมีขีดความสามารถในการแข่งขันสูง
ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรม
           ความร่วมมือด้านสังคมและวัฒนธรรมในกรอบอาเซียนประกอบด้วยความร่วมมือด้านต่างๆ เช่น เยาวชน การศึกษาและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สาธารณสุข วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สตรี แรงงาน การขจัดความยากจน สวัสดิการสังคมและการพัฒนา วัฒนธรรมและสนเทศ กิจการพลเรือน ตรวจคนเข้าเมืองและกงสุล ยาเสพติด การจัดการภัยพิบัติ สิทธิมนุษยชน และมูลนิธิอาเซียน ซึ่งจะมีคณะทำงานอาเซียนรับผิดชอบการดำเนินความร่วมมือในแต่ละด้าน
           ที่ประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ปี 2546 ที่บาหลี ผู้นำประเทศอาเซียนได้แสดงเจตนารมณ์ใน Bali Concord II เห็นชอบให้จัดตั้งประชาคมอาเซียนภายในปี 2563 (ค.ศ. 2020) ประกอบด้วยความร่วมมือสามเสาหลัก ได้แก่ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์ให้อาเซียนเป็นสังคม ที่เอื้ออาทรและมีความมั่นคง ประชากรอาเซียนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดีและมีการพัฒนาในทุกด้านเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ส่งเสริมการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน รวมทั้งส่งเสริมเอกลักษณ์ของอาเซียน โดยในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 10 ที่เวียงจันทน์ ปี 2547 ผู้นำประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นชอบต่อแผนปฏิบัติการประชาคมสังคม-วัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Socio-Cultural Community Plan of Action) ที่ระบุอยู่ในแผนปฏิบัติการเวียงจันทน์ (Vientiane Action Programme-VAP) ซึ่งเน้น 4 ด้านหลัก ได้แก่ (1) การสร้างประชาคมแห่งสังคมที่เอื้ออาทร (2) แก้ไขผลกระทบต่อสังคมอันเนื่องมาจากการรวมตัวทางเศรษฐกิจ (3) ส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและการจัดการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างถูกต้อง และ (4) ส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประชาชนในระดับรากหญ้า การเรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม รวมทั้งรับรู้ข่าวสารเพื่อให้ประชาชนตระหนักถึงเอกลักษณ์อาเซียน (ASEAN Identity) ซึ่งจะเป็นรากฐานที่จะนำไปสู่การเป็นประชาคมอาเซียน ต่อมา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 12 ผู้นำประเทศอาเซียนได้ลงนามใน Cebu Declaration on the Acceleration of the Establishment of an ASEAN Community by 2015 เร่งรัดการเป็นประชาคมอาเซียนให้เร็วขึ้นอีก 5 ปี คือ ปี 2558 (ค.ศ. 2015)
           ขณะนี้ อาเซียนอยู่ระหว่างการจัดทำร่างแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (Draft ASEAN Socio-Cultural Community Blueprint) ร่างแผนงานฯ ประกอบด้วยความร่วมมือหลักได้แก่ (1) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ (Human Development) (2) การคุ้มครองและสวัสดิการสังคม (Social Welfare and Protection) (3) สิทธิและความยุติธรรมทางสังคม (Social Justice and Rights) (4) ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability) (5) เอกลักษณ์อาเซียน (Common ASEAN Identity) (6) การลดช่องว่างทางการพัฒนา (Narrowing the Development Gap) ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาจัดทำภายใต้คณะยกร่างแผนงานการจัดตั้งประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน โดยได้เสนอให้ที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ ครั้งที่ 41 ในเดือนก.ค. 2551 ที่ประเทศสิงคโปร์ ให้ความเห็นชอบก่อนเสนอให้ผู้นำประเทศอาเซียนลงนามในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ในเดือน ธ.ค. 2551 ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพ

ความริเริ่มเพื่อการรวมตัวกัน
            การที่อาเซียนมีประเทศสมาชิก 2 กลุ่มคือ สมาชิกเก่า 6 ประเทศ (บูรไนฯ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ และไทย หรือ ASEAN 6) และสมาชิกใหม่ (กัมพูชา ลาว พม่า และเวียดนาม หรือ CLMV) โดยกลุ่มสมาชิกใหม่เป็นประเทศในกลุ่มประเทศด้อยพัฒนาที่สุด จึงเกิดช่องว่างการพัฒนาระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิกเก่าและกลุ่มประเทศสมาชิกใหม่ของอาเซียน ดังนั้น เพื่อให้อาเซียนสามารถก้าวเดินทางไปพร้อมกันให้มากที่สุด จึงต้องลดช่องว่างการพัฒนานี้ ซึ่งที่ประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ครั้งที่ 4 ที่สิงคโปร์ (พฤศจิกายน 2543) ได้เห็นพ้องให้มีความริเริ่มเพื่อการรวมตัวของอาเซียน” (Initiative for ASEAN Integration - IAI) เพื่อลดช่องว่างการพัฒนาอันจะช่วยเร่งรัดการรวมตัวของประเทศสมาชิกอาเซียน
           IAI มีจุดประสงค์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของประเทศ CLMV เพื่อลดปัญหาความ ยากจน/ยกระดับความเป็นอยู่ของประชากร พัฒนาระบบข้าราชการ และเสริมสร้างขีดความสามารถใน การแข่งขันโดยมีแผนงาน 6 ปี (ปี 2545-2551) รองรับ และมีกลไกในการจับคู่ (Co-shepherd Mechanism) ระหว่างประเทศ ASEAN 6 กับประเทศ CLMV ในแต่ละสาขาความร่วมมือ อาทิ โครงสร้างพื้นฐาน (ขนส่งและ พลังงาน) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ความยากจนและคุณภาพชีวิต การท่องเที่ยว การรวมตัวทางเศรษฐกิจและสาขาย่อยด้านบรรยากาศการลงทุน และสาขาทั่วไป ทั้งนี้ ผู้เสนอโครงการจะให้เงินสนับสนุน โดยอาจเป็นเต็มจำนวนหรือร่วมกันระหว่าง ASEAN 6 กับประเทศคู่เจรจา องค์การเพื่อการพัฒนาต่างๆ และประเทศนอกภูมิภาค
           ภายหลังจากการดำเนินการตามแผนงานได้ 3 ปี สำนักเลขาธิการอาเซียนทำการทบทวน ความคืบหน้าของการดำเนินงานตามแผนงาน (Mid-term Review) เมื่อพฤศจิกายน 2548 โดยได้มีการเพิ่ม สาขาความร่วมมือ และทบทวนกลไก co-shepherd ดังนี้
สาขาความร่วมมือ
ประเทศผู้ประสานงาน
Co-shepherd
โครงสร้างพื้นฐาน
กัมพูชา
อินโดนีเซีย (ด้านพลังงาน)
ไทย (ด้านการขนส่ง)
การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
ลาว
บรูไน สิงคโปร์
เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
พม่า
มาเลเซีย
การรวมตัวทางเศรษฐกิจ
- สาขาย่อย บรรยากาศการลงทุน*
เวียดนาม
กัมพูชา
ฟิลิปปินส์
ไทย สิงคโปร์ (รอยืนยัน)
ด้านท่องเที่ยว*
พม่า
อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ (รอยืนยัน)
ความยากจนและคุณภาพชีวิต*
ลาว
อินโดนีเซีย มาเลเซีย
สาขาเรื่องทั่วไป*
เวียดนาม
ฟิลิปปินส์
(* คือ สาขาใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้น จากผลของ Mid-term Review)
            ขณะนี้ IAI มีโครงการทั้งสิ้น 203 โครงการ (ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2551) โดยมีโครงการที่มีเงินสนับสนุน 158 โครงการ และโครงการที่ได้ดำเนินการแล้ว 116 โครงการ สิงคโปร์ให้เงินสนับสนุนโครงการ IAI มากที่สุดในประเทศอาเซียน 6 ประมาณ 22.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 73.64% ของเงินที่ประเทศอาเซียน 6 สนับสนุนโครงการ IAI ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการสาขาพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยใช้ศูนย์ IAI Centre ที่สิงคโปร์จัดตั้งขึ้นในแต่ละประเทศ CLMV เป็นศูนย์ฝึกอบรม ส่วนไทยมี 14 โครงการ มูลค่ารวม 1,105,949 ดอลลาร์สหรัฐ (รวมเงินสมทบจากองค์กร/ประเทศผู้ให้ความช่วยเหลือด้วย ณ วันที่15 มีนาคม 2551) อย่างไรก็ดี ประเทศไทยให้ความช่วยเหลือแก่ CLMV ในลักษณะความร่วมมือทวิภาคีมากที่สุดในบรรดาประเทศอาเซียน 6 โดยมีมูลค่าเงินมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน)
            โครงการ IAI ที่ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากประเทศคู่เจรจาและองค์กรเพื่อการพัฒนามีทั้งสิ้น 62 โครงการ (ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2551) มูลค่ารวม 20.18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยประเทศคู่เจรจาที่ให้ ความช่วยเหลือมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเกาหลี อินเดีย นอร์เวย์ และสหภาพยุโรป รวม 17.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 87.1% ของเงินทุนสนับสนุนทั้งหมดที่ได้รับจากประเทศคู่เจรจา
              อาเซียนได้เริ่มมีการหารือเรื่องยุทธศาสตร์ใหม่ของ IAI เพื่อให้สนับสนุนเป้าหมายการเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 รวมทั้งการจัดทำแผนงาน IAI ระยะที่ 2 (2552-2558) ซึ่งแผนงานปัจจุบันจะ หมดอายุลงในปี 2551 โดยเวียดนามได้จัดการประชุม IAI Development Cooperation Forum (IDCF) ครั้งที่ 2 ระหว่างวันที่ 12-13 มิถุนายน 2550 เพื่อระดมสมองเกี่ยวกับแนวทางลดช่องว่างของระดับการพัฒนาของอาเซียน และยุทธศาสตร์ใหม่ของ IAI หลังปี 2551 กับประเทศคู่เจรจาและองค์กรพัฒนาระหว่างประเทศ เพื่อให้ IAI เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ประชุมมีข้อเสนอแนะต่อยุทธศาสตร์ใหม่ของ IAI กล่าวคือ ให้ IAI เป็นกลไกความร่วมมือสำหรับประเทศอาเซียนโดยรวม ไม่ใช่มุ่งเน้นเฉพาะการให้ความช่วยเหลือแก่ประเทศ CLMV เท่านั้น
            ในแผนงาน IAI ระยะที่ 2 อาเซียนประสงค์จะขยายดำเนินการเสริมสร้างขีดความสามารถ ของกลุ่ม CLMV ให้สอดคล้องกับแผนการจัดตั้งประชาคมอาเซียนทั้ง 3 เสาหลัก ได้แก่ ประชาคมเศรษฐกิจ ประชาคมการเมืองและความมั่นคง และประชาคมสังคมและวัฒนธรรม และจะเสนอร่างแผนงานระยะที่สองให้ที่ประชุมผู้นำอาเซียนรับรองในเดือนธันวาคม 2551

ความสัมพันธ์กับภายนอก
            ในวิสัยทัศน์ 2020 ได้กำหนดให้อาเซียนส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์กับภายนอกโดยเฉพาะการส่งเสริมความสัมพันธ์และความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา (Dialogue Partners) ทั้ง 10 ประเทศ คือ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐฯ แคนาดา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน รัสเซีย เกาหลีใต้ และอินเดีย เพื่อทำให้เกิดสภาพแวดล้อมระหว่างประเทศในภูมิภาคที่เอื้ออำนวยต่อกระบวนการสร้างประชาคมอาเซียน อาเซียนพยายามชักชวนให้ประเทศคู่เจรจาเข้าเป็นภาคีในสนธิสัญญาไมตรีและความร่วมมือในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำหนดแนวทางการดำเนินความสัมพันธ์ของรัฐต่างๆ ในภูมิภาคโดยคำนึงถึงสันติภาพ ความมั่นคง และความเจริญทางเศรษฐกิจร่วมกัน (ขณะนี้เหลือเพียงสหรัฐฯ แคนาดา และสหภาพยุโรปที่ยังไม่ได้เข้าร่วมในสนธิสัญญานี้) นอกจากนี้ หลายประเทศคู่เจรจา (ยกเว้นนิวซีแลนด์และแคนาดา) ยังได้ ลงนามในเอกสารความเป็นหุ้นส่วนกับอาเซียนและมีแผนปฏิบัติการร่วมในการดำเนินความร่วมมือใน ด้านต่างๆ กับอาเซียน โดยเฉพาะการต่อต้านการก่อการร้าย และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ ซึ่งจะช่วยให้การรวมตัวของอาเซียนเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้นด้วย
ความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย
            
ออสเตรเลียเป็นประเทศแรกที่สถาปนาความสัมพันธ์ประเทศคู่เจรจาอย่างเป็นทางการกับอาเซียนเมื่อปี 2517 (ค.ศ.1974) และดำเนินความสัมพันธ์กันอย่างราบรื่น เริ่มต้นด้วยความร่วมมือด้าน การพัฒนา ต่อมามีการปรับเปลี่ยนลำดับความสำคัญของความร่วมมือไปตามพัฒนาการทางเศรษฐกิจและความจำเป็นอื่นๆ เพื่อสนองความต้องการของทั้งสองฝ่าย ปัจจุบันออสเตรเลียเน้นความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการรวมตัวทางเศรษฐกิจของอาเซียน และมีบทบาทสำคัญในการประชุมว่าด้วยการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ARF)
            อาเซียนและออสเตรเลียได้ลงนามในเอกสารสำคัญหลายฉบับ อาทิ Joint Declaration on ASEAN-Australia Comprehensive Partnership และ Plan of Action to Implement Joint Declaration on ASEAN-Australia Comprehensive Partnership (2550) และ ASEAN-Australia Joint Declaration for Cooperation to Combat International Terrorism (2547) ออสเตรเลียได้ภาคยานุวัติสนธิสัญญาไมตรีและและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อเดือนธันวาคม 2548 ออสเตรเลียมีความร่วมมือเพื่อการพัฒนากับอาเซียนภายใต้ ASEAN-Australia Development Cooperation Program (AADCP) ซึ่งขณะนี้อยู่ในการดำเนินงานระยะที่สอง (ค.ศ.2008-2015) โดยมีมูลค่าความช่วยเหลือที่ออสเตรเลียให้แก่อาเซียนเป็นเงิน 57 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย นอกจากนี้ อาเซียนยังได้เจรจาจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ (ASEAN-Australia-New Zealand Free Trade Agreement - AANZFTA) ซึ่งจะลงนามในความตกลงการค้าเสรีได้ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ที่กรุงเทพฯ ในกลางเดือนธันวาคม 2551
            ปัจจุบัน ไทยเป็นประเทศผู้ประสานงานความสัมพันธ์อาเซียน-ออสเตรเลีย (กรกฎาคม 2549 – 2552) โดยสิงคโปร์จะรับหน้าที่เป็นประเทศผู้ประสานงานฯ ต่อไป ในปี 2552 – 2555

กฎบัตรอาเซียน
           พัฒนาการความร่วมมือของอาเซียนในช่วงแรกๆ หลังการก่อตั้งเน้นความร่วมมือด้านการเมือง ก่อนที่จะ ขยายไปสู่ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคมในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา และมีการรวมกลุ่มที่ใกล้ชิดยิ่งขึ้น การเปลี่ยนแปลงของบริบททางการเมืองและเศรษฐกิจของโลกและภูมิภาค ความขัดแย้งด้านอุดมการณ์ทางการเมืองในยุคสงครามเย็นยุติลง รวมทั้งการก้าวเข้าสู่โลกยุคโลกาภิวัตน์ที่มีมหาอำนาจใหม่คือ จีนและอินเดีย และต้องเผชิญกับภัยคุกคามในรูปแบบใหม่ เช่น โรคระบาด การก่อการร้าย การค้ามนุษย์ สิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ ทำให้อาเซียนต้องปรับตัว และปรับระบบการทำงาน โดยเน้นประสิทธิภาพและการมีส่วนร่วมของประชาชนมากขึ้นโลกปัจจุบันเป็นโลกของความร่วมมือในระดับภูมิภาคจะเห็นได้จากการรวมกลุ่มของประเทศต่างๆในยุโรป ละติน อเมริกา เอเชียใต้ และแอฟริกา เพื่อสร้างโอกาส เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และอำนาจต่อรอง อาเซียนจึงจำเป็นต้องวางรากฐานสำหรับการสร้างประชาคมอาเซียนที่ประกอบด้วย 3 เสาหลักคือ ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียนภายในปี 2558
              กฎบัตรอาเซียนเป็นความตกลงระหว่างประเทศสมาชิกที่กำหนดกรอบโครงสร้างองค์กร เป้าหมาย หลักการ และกลไกที่สำคัญต่างๆ ของอาเซียน และให้สถานะนิติบุคคลแก่อาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อ (1) เพิ่มประสิทธิภาพของอาเซียนในการดำเนินการตามเป้าหมายต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรวมตัวไป สู่การเป็นประชาคมอาเซียนภายในปี 2558 (2) สร้างกลไกที่จะส่งเสริมให้รัฐสมาชิกปฏิบัติตามความตกลงต่างๆ ของอาเซียน และ (3) ทำให้อาเซียนเป็นองค์กรที่ใกล้ชิดและก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริงมากขึ้น
             ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 9 ที่บาหลี ปี 2546 ที่ประชุมได้เห็นชอบให้มีการจัดตั้ง ประชาคมอาเซียนภายในปี 2563 (ค.ศ.2020) ต่อมา ในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 10 ที่เวียงจันทน์ สปป.ลาว ปี 2547 ผู้นำได้เห็นชอบต่อแผนปฏิบัติการเวียงจันทน์ (Vientiane Action Programme –VAP) ซึ่งกำหนดมาตรการในการขับเคลื่อนการสร้างประชาคมอาเซียน ซึ่งรวมถึงการจัดทำกฎบัตรอาเซียนด้วย ซึ่งผู้นำอาเซียนในการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 11 ปีถัดมา ได้เห็นชอบให้จัดทำกฎบัตรอาเซียนและตั้งคณะผู้ทรงคุณวุฒิเรื่องกฎบัตรอาเซียน (Eminent Persons Group on the ASEAN Charter-EPG) เพื่อจัดทำข้อเสนอแนะเกี่ยวกับทิศทางการรวมตัวของอาเซียนและสาระสำคัญที่ควรมีปรากฏในกฎบัตรอาเซียน การร่างกฎบัตรอาเซียนทำกันในปี 2549 โดยให้คณะทำงานระดับสูง และได้เสนอให้ผู้นำอาเซียนลงนามในกฎบัตรอาเซียนระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 13 ที่สิงคโปร์ ปี 2550
ความสำคัญของกฎบัตรอาเซียนต่อประเทศไทย
             ไทยเป็น 1 ใน 5 ของผู้ร่วมก่อตั้งอาเซียน เป็นสถานที่กำเนิดของอาเซียน และมีบทบาทนำ ในอาเซียนมาโดยตลอด ไทยเป็นประธานอาเซียนในปี 2551-2552 และระหว่างปี 2551-2555 ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ จะเข้ารับตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน ซึ่งเป็นการตอกย้ำบทบาทนำของไทย ทั้งนี้ การมีกฎบัตรอาเซียนจะช่วยให้อาเซียนมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น จะเป็นการสะท้อนความสำเร็จทั้งของไทยและภูมิภาคนี้โดยรวม
1.             กฎบัตรอาเซียนให้ความสำคัญกับการปฏิบัติตามพันธกรณีต่างๆ ของประเทศสมาชิก ซึ่งจะช่วยสร้างเสริมหลักประกันให้กับไทยว่าจะสามารถได้รับผลประโยชน์ตามที่ตกลงกันไว้อย่างเต็มที่ นอกจากนี้ การปรับปรุงการดำเนินงานและโครงสร้างองค์กรของอาเซียนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการเสริมสร้างความร่วมมือใน 3 เสาหลักของประชาคมอาเซียนจะเป็นฐานสำคัญที่จะทำให้อาเซียนสามารถตอบสนองต่อความต้องการและผลประโยชน์ของรัฐสมาชิก รวมทั้งยกสถานะและอำนาจต่อรอง และภาพลักษณ์ของประเทศสมาชิกในเวทีระหว่างประเทศได้ดียิ่งขึ้น
              นอกจากนี้ เรื่องใหม่ในอาเซียนที่ไทยผลักดันให้ปรากฏในกฎบัตรฯ ได้แก่ (1) การจัดตั้งองค์กรสิทธิมนุษยชนของอาเซียน ทั้งนี้ จะต้องมีการจัดทำ Terms of Reference เพื่อกำหนดรายละเอียดเกี่ยวกับอำนาจหน้าที่ขององค์กรนี้ต่อไป (2) การให้อำนาจเลขาธิการอาเซียนสอดส่องและรายงานการปฏิบัติตามความตกลงของรัฐสมาชิก (3) การจัดตั้งกลไกสำหรับการระงับข้อพิพาทต่างๆ ระหว่างประเทศสมาชิก (4) การระบุให้ผู้นำเป็นผู้ตัดสินว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อรัฐผู้ละเมิดพันธกรณีตามกฎบัตรฯ อย่างร้ายแรง (5) การเปิดช่องให้ใช้วิธีการอื่นในการตัดสินใจได้หากไม่มีฉันทามติ (6) การให้ความสำคัญกับการส่งเสริม การปรึกษาหารือระหว่างประเทศสมาชิกเพื่อแก้ไขปัญหาที่กระทบต่อผลประโยชน์ร่วม ซึ่งทำให้การตีความหลักการห้ามแทรกแซงกิจการภายในมีความยืดหยุ่นมากขึ้น (7) การเพิ่มบทบาทของประธานอาเซียนเพื่อให้อาเซียนสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างทันท่วงที (8) การเปิดช่องทางให้อาเซียนสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับองค์กรภาคประชาสังคมมากขึ้น และ (9) การปรับปรุงโครงสร้างองค์กรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น ให้มีการประชุมสุดยอดอาเซียน 2 ครั้งต่อปี จัดตั้งคณะมนตรีเพื่อประสานความร่วมมือในแต่ละ 3 เสาหลัก และการมีคณะผู้แทนถาวรประจำอาเซียนที่กรุงจาการ์ตา เพื่อลดเวลาและค่าใช้จ่ายในการประชุมของอาเซียน เป็นต้น
การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย
 
               ไทยได้รับหน้าที่ประธานอาเซียนต่อจากสิงคโปร์ ภายหลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศ อาเซียน ครั้งที่ 41 ที่สิงคโปร์ในเดือน ก.ค. 2551 การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทยอยู่ในช่วงเวลา ที่สำคัญเนื่องจาก (1) กฎบัตรอาเซียนจะมีผลใช้บังคับ (2) มีการจัดทำแผนงานสำหรับการจัดตั้งประชาคมการเมืองความมั่นคง ประชาคมเศรษฐกิจ และประชาคมสังคมและวัฒนธรรมเพื่อมุ่งไปสู่การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนในปี 2558 และ (3) อยู่ในช่วงเวลาเดียวกับที่คนไทย คือ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ ดำรงตำแหน่งเลขาธิการอาเซียน (วาระ 5 ปี ตั้งแต่ 1 ม.ค. 2551-31 ธ.ค. 2555)
               โดยที่กฎบัตรอาเซียนกำหนดให้วาระการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนเป็นไปตามปีปฏิทิน ดังนั้น หากกฎบัตรอาเซียนมีผลบังคับใช้ภายในปี 2551 ไทยจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือนคือ ตั้งแต่ ก.ค. 2551 – ธ.ค. 2552 แต่หากกฎบัตรฯ ยังไม่มีผลบังคับใช้ ไทยจะส่งมอบตำแหน่งประธาน ให้เวียดนามภายหลังการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ครั้งที่ 42 ในเดือน ก.ค. 2552 ตามแนวปฏิบัติเดิม
               ในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่าน (อาเซียนที่ยังไม่มีและมีกฎบัตร) ไทยมีภารกิจต้องเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน 3 ครั้ง โดยกำหนดจะจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 วันที่ 15-18 ธ.ค. 2552 และการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 15 ในปลายปี 2552 รวมทั้งการประชุมสุดยอดอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN Summit Retreat) ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2552 นอกจากนี้ ไทยยังได้รับการร้องขอจากที่ประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ (ASEAN FMs’ Retreat) ที่สิงคโปร์ ให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการในช่วงครึ่งแรกของปี 2552 ด้วยนอกจากนี้ ในระหว่างการเดินทางเยือนไทยของเลขาธิการสหประชาชาติเมื่อเดือน ธ.ค. 2551 ไทยได้เสนอที่จะจัดการประชุมสุดยอดอาเซียน-สหประชาชาติ ครั้งที่ 3 ต่อเนื่องจากการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14ในวันที่ 18 ธ.ค. 2551 ด้วย ขณะนี้ได้รับการตอบรับอย่างไม่เป็นทางการจากเลขาธิการสหประชาชาติแล้ว
ยุทธศาสตร์การดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนของไทย
         
กระทรวงการต่างประเทศได้หารือกับหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องและได้ร่วมกันกำหนดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในวาระที่ไทยจะดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนดังนี้
1.             สร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียนให้ประชาชนได้รับทราบ
2.             ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับบทบาทไทยในฐานะประธานอาเซียน
3.             เสริมสร้างประชาคมการเมืองและความมั่นคงภายในปี 2558
4.             เสริมสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนภายในปี 2558
5.             เสริมสร้างประชาคมสังคมและวัฒนธรรมภายในปี 2558
6.             ส่งเสริมความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจาของอาเซียน  
       ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศได้กำหนดเป้าหมายสำคัญที่ไทยจะผลักดันในช่วงที่ดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนไว้ 3 ประการ ได้แก่
1.             การอนุวัติข้อผูกพันภายใต้กฎบัตรอาเซียน (Realising the commitments under the ASEAN Charter) โดยเฉพาะการยกร่างขอบเขตอำนาจหน้าที่ขององค์กรต่าง ๆ ที่จะจัดตั้งขึ้น ได้แก่ กลไก สิทธิมนุษยชนอาเซียน และคณะกรรมการผู้แทนถาวรประจำอาเซียน ณ กรุงจาการ์ตา เป็นต้น
2.             การทำให้อาเซียนเป็นประชาคมที่มีประชาชนเป็นจุดศูนย์กลาง (Revitalising ASEAN
as a people-centred Community) ซึ่งหมายถึงการเสริมสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับอาเซียนในหมู่ประชาชน การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนและภาคประชาสังคมในการสร้างประชาคมอาเซียน
3.             การเสริมสร้างการพัฒนาและความมั่นคงของมนุษย์สำหรับประชาชนทุกคนในภูมิภาค (Reinforcing human development and security for all the peoples of the region) โดยส่งเสริมให้ความร่วมมือของอาเซียนตอบสนองต่อผลประโยชน์ของประชาชนให้มากที่สุด โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาที่มีผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน เช่น ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน การจัดการภัยพิบัติและการเสริมสร้างเสถียรภาพด้านการเงินในภูมิภาค
             นอกจากนี้ ไทยยังจะใช้โอกาสในการดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนผลักดันความร่วมมือของอาเซียนและความร่วมมือกับประเทศคู่เจรจา ภายใต้กรอบอาเซียน+1 อาเซียน+3 และการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (East Asia Summit-EAS) ให้ช่วยเสริมสร้างความมั่นคงของมนุษย์และแก้ไขปัญหาสำคัญที่มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน เพื่อให้อาเซียนเป็นองค์กรที่ตอบสนองต่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริงและสามารถคงความสำคัญของอาเซียนในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ  ต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเอาไว้ได้
------------------------------------------ 
ข้อมูลจาก :
กรมอาเซียนกระทรวงการต่างประเทศ  30 กันยายน 2551